แคมเปญดังกล่าวใช้งบประมาณกว่า 800 ล้านบาท พร้อมกิจกรรมสื่อสารการตลาดอย่างครบวงจร ด้วยภาพยนตร์โฆษณา 3 เวอร์ชั่น และมิวสิกวิดีโอ 1 ชุด สำหรับผลิตภัณฑ์เนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู เนสกาแฟเรดคัพ และเนสกาแฟกระป๋อง ควบคู่ไปกับการใช้สื่อทางดิจิทัล สื่อโฆษณานอกบ้าน และกิจกรรมในร้านค้าหรือจุดขายโดยภาพยนตร์โฆษณาและมิวสิกวิดีโอจะสื่อถึงความสัมพันธ์ของผู้คนในทุกรูปแบบอย่างซาบซึ้งและโดนใจ ทั้งความผูกพันในครอบครัว ระหว่างเพื่อนฝูง และคนรัก และได้ใช้พรีเซ็นเตอร์ซึ่งเป็นนักแสดงรุ่นใหม่สุดฮอต ได้แก่ โป๊ป-ธนวรรธน์ วรรธนะภูติ, ปั้นจั่น-ปรมะ อิ่มอโนทัย และพรอยมน-มนสภรณ์ ชาญเฉลิม
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีการแจก Sampling เป็นเนสกาแฟ 1 ล้านแก้ว เมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นวันกาแฟสากล ที่ถูกแปลงมาเป็นวันเนสกาแฟ โดยเป็นการรวมพลังของคนในบริษัทเนสท์เล่ 3,000 คน เพื่อระดมแจกเนสกาแฟให้กับคนไทยทั่วประเทศ เป็นอีก 1 ของการสร้างกิจกรรมที่มุ่งเน้นไปที่เรื่องของการสร้างความผูกพันกับผู้บริโภคโดยตรง
จากข้อมูลที่รวบรวมโดยเนสท์เล่ พบว่า ตลาดกาแฟโดยรวมของบ้านเรามีมูลค่าประมาณ 64,000 ล้านบาท แบ่งเป็น ตลาดกาแฟที่ดื่มในบ้าน 38,000 ล้านบาท ตลาดไม่มีการเติบโต และตลาดกาแฟที่ดื่มนอกบ้านที่รวมทั้งกาแฟ RTD และร้านกาแฟทั่วไป ประมาณ 26,000 ล้านบาท ตลาดมีการเติบโตประมาณ 8% มาจากพฤติกรรม On the Go ที่ช่วยผลักดันให้ตลาดนี้มีการเติบโตค่อนข้างดี
หากมองเข้ามาที่ส่วนแบ่งตลาดแล้ว จะพบว่า เนสท์กาแฟเป็นผู้นำในตลาดเกือบทุกเซ็กเม้นต์ ยกเว้นกาแฟพร้อมดื่ม หรือ RTD โดยกาแฟ 3 อิน 1 ที่เนสกาแฟมีตัวเนสกาแฟ เบลนด์ แอนด์ บรู ผสมกาแฟคั่วบดละเอียดที่ส่งออกมาในปี 2016 อยู่ในตลาด มีส่วนแบ่ง 60% เนสกาแฟเรด คัพ ที่เป็นกาแฟสำเร็จรูป มีส่วนแบ่งตลาด 84% ส่วนกาแฟพรีเมียม มีแชร์อยู่ 53% และกาแฟพร้อมดื่มหรือ RTD มีแชร์ 31%
แม้จะมองเห็นความพยายามในการเข้าไปในตลาดใหม่ๆ แต่หากมองเข้ามาที่ภาพรวมแล้ว ในช่วงที่ผ่านมา เนสกาแฟ ไม่ได้มองไปที่การแข่งขันกับกาแฟสด แต่มองว่า จะทำอย่างไรในการเพิ่มโอกาสในการดื่มกาแฟในบ้านให้มีมากขึ้น ซึ่งแน่นอนว่า เมื่อตลาดโต เนสกาแฟในฐานะผู้นำตลาดก็จะได้ผลประโยชน์จากการเติบโตนั้นด้วย
สิ่งที่เนสกาแฟทำออกมานั้น จะมุ่งไปที่การผลักดันให้เกิดการดื่มเนสกาแฟอย่างต่อเนื่อง เพราะกาแฟเป็นสินค้าเข้าปาก เมื่อคุ้นเคยในรสชาติ ก็จะถูกเลือกเป็นตัวเลือกแรกๆ เนสกาแฟจึงมีการปรับกลยุทธ์ของตัวเองเพื่อที่จะผลักดันให้เกิดการทดลงดื่ม อย่างการแจกกาแฟ 1 ล้านแก้วเมื่อวันที่ 1 ต.ค.ที่ผ่านมา หรืออย่างการเปิดเนสกาแฟ คาเฟ่ แห่งแรกในบิ๊กซี สาขาสุขสวัสดิ์ ที่ขายกาแฟเริ่มต้นแก้วละ 10 บาท ซึ่งถือเป็นการปรับรูปแบบของการชงชิมในสโตร์ของไฮเปอร์มาร์เก็ตที่เดิมจะแจกชงชิมในแก้วเล็กๆ ไม่ทันรู้รส
แต่เมื่อปรับมาขายแก้วละ 10 บาท จะได้กาแฟแก้วใหญ่ที่ดื่มได้อย่างเต็มที่ รวมถึงสามารถแนะนำการดื่มในรูปแบบทั้งร้อน และเย็นได้ โดยเนสกาแฟมีแผนที่จะขยายรูปแบบการทำตลาดนี้ไปยังไฮเปอร์มาร์เก็ตรายอื่นๆ เนื่องจากมองว่าสามารถเข้ามาช่วยกระตุ้นการซื้อในช่องทางไฮเปอร์มาร์เก็ตที่จะเป็นการส่งต่อการดื่มไปยังบ้านของผู้บริโภคได้
เป็นอีกกลวิธีในการสร้างให้เกิดการดื่มกาแฟเพิ่มขึ้นในสไตล์ของผู้นำตลาดที่ต้องมีการนำเสนอนวัตกรรมทั้งด้านผลิตภัณฑ์ และการตลาด.....