แน่นอนว่า การค้นพบรูปแบบการใช้สินค้าจากการดื่ม มาสู่การเป็นเครื่องสำอางธรรมชาติที่มีส่วนผสมของสมุนไพร และไม่เป็นอันตรายต่อการใช้นั้น กลายเป็นอุบัติเหตุการตลาดครั้งใหญ่ที่ช่วยทำให้แบรนด์กลับมาเป็นที่พูดถึงแบบทอล์ก ออฟ เดอะ ทาวน์ อีกครั้งหนึ่ง โดยไม่ต้องออกแรงมากนัก
ทั้งนี้ ก็เพราะว่า กระแสที่ถูกพูดถึงแบบบอกต่อจากกลุ่มวัยรุ่น กลายเป็นแรงส่งชั้นดีให้แบรนด์เข้าไปอยู่ในกระแสของพวกเขาได้ไม่ยากเย็นนัก
อย่างไรก็ตาม รูปแบบการใช้ใหม่ๆ ที่ไม่ได้เป็นการบริโภคแบบเดิมๆ นี้ แม้จะถูกมองว่าอาจจะเป็นแค่แฟชั่น แต่ด้วยกระแสความนิยมที่แพร่ลามไปอย่างรวดเร็ว ทำให้โอสถสภา เจ้าของแบรนด์ไม่สามารถละเลยกับมันได้
จากเดิมที่ความพยายามในการกลับคืนสู่ตลาดด้วยการผลักดันแบรนด์เข้าไปหากลุ่มวัยรุ่น และคนรุ่นใหม่ด้วยวิธีการบริโภคแบบเดิมๆ คือ การผสมน้ำดื่มเพื่อดับกระหาย โดยมีเรื่องของการเป็นสมุนไพรเข้ามาเป็นจุดขายสำคัญ เมื่อเห็นโอกาสทางการตลาดจากอินไซต์ของผู้บริโภคที่มีเข้ามา จึงได้มีการปรับวิธีการทำตลาด หันมาชูในเรื่องของการเป็นตัวช่วยทำให้หน้าอมชมพูธรรมชาติ รวมถึงการทำให้ปากมีสีชมพู ซึ่งเป็นที่ต้องใจของเหล่าสาวๆ วัยรุ่นในช่วงนั้น
ถึงขนาดที่ว่า โอสถสภามีการปรับตัวสินค้าด้วยการส่งสินค้าไซส์เล็กที่พกพา หรือใส่กระเป๋าได้สะดวกในขนาด ขนาดพกพา 5 ซีซี. ราคา 52 บาท ซึ่งเป็นไซส์ที่ออกมาเพื่อใช้ในการแต่งหน้าอมชมพูโดยเฉพาะ ถือเป็นการปรับตามคำเรียกร้องของผู้บริโภค การเข้าถึงลูกค้าวัยรุ่น ด้วยรูปแบบการใช้สินค้าใหม่ๆ จากที่ไม่เคยมีมาก่อนช่วยให้อุทัยทิพย์สามารถขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มวัยรุ่นได้มากขึ้นในช่วงเวลานั้น จากเดิมที่ฐานของลูกค้าแบรนด์นี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ใหญ่ ถือเป็นการ Rejuvenate แบรนด์ที่ประสบความสำเร็จมากในช่วงเวลานั้น
อย่างไรก็ตาม สิ่งที่โอสถสภา พยายามทำก็คือ การสร้างการเติบโตที่ยั่งยืน ให้กับอุทัยทิพย์ผ่านการผลักดันแบรนด์เข้าหาคนรุ่นใหม่ๆ ด้วยการบริโภคในรูปแบบเดิมๆ คือผสมน้ำดื่ม ควบคู่กันไป เพราะมองออกว่า สิ่งที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานั้น มันเป็นไปตามกระแสแฟชั่น ที่มาแล้วก็จากไป แต่อย่างน้อยๆ การสร้างรูปแบบการบริโภคใหม่ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ กลายเป็นอีกกรณีศึกษาที่ถูกพูดถึงกันในวงกว้างทีเดียว......