สุภศักดิ์ กล่าวเพิ่มเติมว่า ที่ผ่านมากลุ่มลูกค้าที่เป็นบริษัทใหญ่จากประเทศญี่ปุ่นมีความเชื่อมั่นกับประเทศไทยมากขึ้น สาเหตุมาจากนโยบาย Thailand 4.0 และ EEC รวมถึงการลงทุนในการก่อสร้างระบบคมนาคมขนาดใหญ่ทั่วประเทศ ซึ่งทำให้ประเทศไทยมีรากฐานทางเศรษฐกิจที่แข็งแรงขึ้น
“การลงทุนในประเทศไทยที่เป็น High Technology และใช้ Skill มากขึ้นยังคงมีอย่างต่อเนื่อง เหตุผลมาจากประเทศไทยมีการลงทุนต่อเนื่อง โดยเฉพาะการลงทุนขนาดใหญ่เรื่องการขนส่งและคมนาคม รวมถึงนโยบาย EEC ช่วยสนับสนุนการเติบโตของไทยในหลายด้าน อาทิ โรงงาน, พลังงาน, การเงิน จะได้ประโยชน์จากโครงสร้างของประเทศที่ดีขึ้น การปรับตัวครั้งนี้ทำให้ประเทศไทยเพิ่มความได้เปรียบทางการแข่งขันขึ้น โดยอุตสาหกรรมที่จะมาในอนาคต เช่น การสื่อสาร, การแพทย์, อี-คอมเมิร์ซ, ลอจิสติกส์, ปิโตรเคมี, คอสเมติก และสกินแคร์
แต่อย่างไรก็ตาม ก็ยังมีบางบริษัทที่ต้องการแรงงานที่มีราคาถูก อาจจะมีการย้ายฐานการผลิตออกไปยังประเทศเพื่อนบ้านบ้าง เพราะมีค่าแรงที่ถูกกว่า แต่โครงสร้างพื้นฐานระบบอาจจะไม่ดีเท่าเรา”
ดีลอยท์ ยังได้ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า ปีนี้จะมี 3 Megatrends ของโลกที่ส่งผลกระทบกับธุรกิจของไทยคือ
มี 35 เมกะเทรนด์ แบ่งเป็น 3 กลุ่ม
1. Technology หรือการเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี อาทิ ระบบ AI จะเข้ามาช่วยเหลือในการทำงาน โดยเฉพาะกับงานที่ต้องทำเหมือนเดิมบ่อยๆ จะเป็นงานของ AI กับหุ่นยนต์ เข้ามาแทนที่อย่างชัดเจน เข้ามาช่วยคนเรา มาทำแทนมากขึ้น เป็นเสมือนอีกหนึ่งพัฒนาการ
หรือจะเป็นเทคโนโลยี AR ที่เข้ามาช่วยในการทำงาน เอามาเสริมในวิธีที่ทำให้คนงานใช้เทคโนโลยีได้ แล้วทำให้คนงานทำได้จากที่ทำไม่ได้ในอดีต เช่น ช่างซ่อมเครื่องใส่แว่นตาพิเศษ แล้วจะมองเห็นว่าต้องซ่อมอะไร ตรงจุดไหน โดยมีคำแนะนำมาจากคนที่คอนโทรลหน้าจอคอมพิวเตอร์ เพื่อเป็นการเพิ่ม Skill ในการทำงานให้กับพนักงานซึ่งสมัยก่อนทำไม่ได้