Q : Spicy Disc นอกจากทำสื่อสารการตลาดแล้ว ยังทำ Event ด้วย
A: เรามี Event ใหญ่ประจำปีคือ Melody of Life คอนเซ็ปต์ของ Melody of Life คือเราต้องการที่จะจัดงานมหกรรมดนตรีใจกลางเมือง เพราะว่าเดินทางมาง่าย และอีกอย่างคือต้องการหาพื้นที่ให้วงใหม่ๆ ที่มีฝีมือมาเล่น ในช่วงปีแรกๆ วงที่เราเอามาเล่นก็จะเป็นวงอินดี้ ซึ่งตอนนี้ก็ดังหมดแล้ว เช่น Slot Machine, Jetseter, Scrubb
Q : Melody of Life ล่าสุดเสียงตอบรับเป็นอย่างไร
A: เราทำมากว่า 11 ปีแล้ว ในปีนี้นอกจากความบันเทิงแล้ว เราอยากปลูกฝังเรื่องอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมให้กับเด็กๆ ดังนั้นทุกอย่างบนเวทีของเราเป็นของรีไซเคิลทั้งหมด เนื่องจากช่วงหลังๆ ผมได้ไปช่วยโรงเรียนต่างๆ และพบว่ามีปัญหาในเรื่องขยะเยอะมาก ซึ่งหากเราไปแก้ปัญหาในชุมชนที่เป็นผู้ใหญ่ค่อนข้างที่จะแก้ยาก แต่สำหรับเด็กๆ ยังสามารถที่จะปลูกฝังได้ง่ายอยู่
ผมเชื่อว่าในเรื่องของสังคมและสิ่งแวดล้อมสามารถนำมาผูกกับธุรกิจได้หมด อย่างบริษัทใหญ่ๆ ก็เริ่มคิดกันแล้ว ซึ่งผมคิดว่าเป็นเรื่องที่ดี ซึ่งหลังจากนี้ถ้าจะทำ Event ก็จะดึงเรื่องพวกนี้เข้ามาผูกด้วยตลอด
Q : บริษัทวางโครงสร้าง Long-Term ไว้อย่างไร รายได้จะมาจากไหนบ้าง
A: ธุรกิจเพลงตอนนี้มองแบบ Long-Term คงไม่ได้ เนื่องจากเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว แน่นอนว่าเราทำค่ายเพลง และเราก็คงหวังรายได้ที่มาจากงานจ้าง รวมไปถึงงาน Event เพราะหากเราทำศิลปินได้ดัง งานจ้างก็จะมีเยอะ ซึ่งต่างจากเมื่อก่อนที่ถ้าศิลปินดังก็จะขาย CD ได้เยอะ แต่ตอนนี้มีเทรนด์เรื่องของการดาวน์โหลดซึ่งยังต้องใช้เวลา
อันที่ 2 จะเป็นรายได้ จากคอนเสิร์ตและเทศกาลดนตรีที่เราครีเอทขึ้นมาเอง อย่างเช่น เทศกาลดนตรี Melody of Life นอกจากนี้ก็มีคอนเสิร์ตครบรอบของ Spicy Disc ซึ่งจะจัดครั้งแรกเดือน พฤศจิกายนนี้ และคาดว่าจะทำทุกปี โดยที่เราอาจทำร่วมกับพันธมิตร และค่ายเพลงอื่นๆ อีกหลายค่าย เพราะตัวผมเองไม่เชื่อในเรื่องของการทำงานแยกค่ายเหมือนในอดีต ในความเป็นจริง เราควรที่จะจับมือกัน ซึ่งตอนนี้ทุกคนก็เริ่มที่จะเปิดมากขึ้น เรียกได้ว่าถ้า Win Win ก็ทำ
เรื่องที่ 3 คือเรื่องของการทำ Branding และ Marketingให้กับแบรนด์ต่างๆ ซึ่งคาดว่าน่าจะมีงานเข้ามาเรื่อยๆ ลูกค้าก็อาจจะเห็นผลงานเราเยอะขึ้น อาจจะเห็นในเรื่องของความคิดที่ต่างไปจากเอเยนซี เพราะเรามีจุดเด่นเรื่องของ การนำ Music Marketing มาใช้ในการแก้ปัญหาและ transform image ให้กับแบรนด์ได้อย่างเป็นรูปธรรม
อีกเรื่องก็น่าจะเป็นเรื่องของการให้ศิลปินของเราไปเป็นพรีเซ็นเตอร์ให้กับ Product ต่างๆ ซึ่งก็เริ่มเข้ามาได้เรื่อยๆ เป็นอีกสิ่งที่เราคาดหวัง ณ ตอนนี้จะหวังเหมือนเมื่อก่อนคงไม่ได้ว่ารายได้ส่วนใหญ่จะอยู่ที่เพลง เพราะเราไม่รู้ว่าเทคโนโลยีจะเปลี่ยนอีกหรือเปล่า สำคัญที่สุดคงเป็นเรื่องของ Content ที่ต้องดี
Q : มองแนวโน้มรายได้จากดิจิทัลเป็นอย่างไร
A: ในเรื่องของรายได้จากดิจิทัล อันดับ 1 ยังคงเป็น YouTube อยู่ อันดับ 2 คือ Joox แต่ถ้ามองดีๆ YouTube เป็นออนไลน์ ส่วน Joox เป็น Streaming ซึ่งจริงๆ แล้วไม่สามารถเทียบกันได้ อันดับ 3 ก็เป็นของ Apple ซึ่ง Apple จะเป็นเรื่องของการดาวน์โหลด ซึ่งเป็นคนละประเภทอีกเช่นกัน Apple คนฟังน้อยแต่ขายได้ราคาแพง
แต่จะเอาค่ายเราเป็นหลักคงไม่ได้ อาจจะเป็นแค่คนกลุ่มที่ฟังเพลงของเรา อย่างเพลงชุดของก้อ ณฐพล ศรีจอมขวัญ ที่ออกมารายได้จาก Apple มาเป็นอันดับ 1 ทั้งที่เพลงเพิ่งปล่อยออกมา นั่นหมายความว่าจะต้องมีกลุ่มคนที่เป็นแฟนเพลงของศิลปินรออยู่
Q : ในส่วนของ Brand Consult อยากให้คนมองเราเป็นอย่างไร
A : เราอยากเป็น Full Service Marketing Solution ที่มีจุดแข็งอยู่ที่ Music Marketing ที่ตอบโจทย์ความต้องการของแบรนด์ ทั้งด้านภาพลักษณ์และยอดขาย
Q : ความท้าทายของ Spicy Disc นับจากนี้ไป
สิ่งที่ท้าทายมากที่สุด คือเรื่องของเทคโนโลยี ไม่ใช่เฉพาะ Spicy Disc เท่านั้น แต่เป็นทุกบริษัทในประเทศไทย ถ้าใครตามไม่ทันก็อาจจะมีปัญหา ในเรื่องของการทำงานส่วนตัว เราก็พยายามอัพเดท ก็พยายามศึกษาตลอด คุยกับเด็กๆ เพื่อเรียนรู้ให้เยอะขึ้น สมัยก่อนผู้ใหญ่ที่ผ่านประสบการณ์มาเยอะถึงจะเก่งกว่า แต่ยุคนี้หากว่าเด็กให้ความสนใจก็เก่งไปพร้อมๆ กันได้ มันอยู่ที่ตัวเราเองว่าจะเปิดใจและอัพเดทมากน้อยขนาดไหน...