ภายในปีแรก ทาง White Water South East Asia ได้มีการดำเนินการแล้ว 6 โครงการ ใน 4 ประเทศ
สำหรับแผนงานต่อไปของพราว เรียลเอสเตทนั้น ก็เตรียมที่จะขยายการลงทุนไปเมืองท่องเที่ยวชื่อดังอย่างภูเก็ต ซึ่งจะเป็นการขยับเข้าไปลงทุนร่วมกับค่ายเดอะมอลล์ในรูปแบบมิกซ์ยูสเหมือนกับที่หัวหิน คือมีสวนน้ำขนาดใหญ่ และโรงแรม อยู่ด้วยกัน
“ภูเก็ตปราบเซียนไหม เราใช้คำว่ายากกว่าดีกว่า เพราะค่าก่อสร้างมันสูงกว่า ส่วนเรื่องพฤติกรรมคนต่างกันไหม ต้องบอกว่า กลับข้างกับที่หัวหินเลย ที่หัวหิน 80% คนไทย ที่เหลือต่างชาติ ที่ภูเก็ตนี่น่าจะกลับข้างกันเลย ต่างชาติ 90% คนไทย 10%
ในแง่ของฤดูการท่องเที่ยวน่าจะได้ทั้งปี เพราะหัวหินนี่คนไทยมากกว่า เราจะได้ Weekend แต่ Weekday เงียบจันทร์ถึงพฤหัส ซึ่งยังเป็นความท้าทายอยู่ แต่ถ้าเป็นภูเก็ต ด้วยความที่เป็นนักท่องเที่ยวต่างชาตินี่ได้ทุกวัน”
ทุกวันนี้ ประเทศไทยมีสวนน้ำขนาดใหญ่ที่ใช้เงินลงทุนระดับ 1,000 ล้านบาทขึ้นไป อยู่หลายแห่งด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นสวนสยาม, วานา นาวา, Santorini Park, Cartoon Network, Ramayana กระนั้นก็ดี คุณพราวพุธ ก็ยังมั่นใจว่าประเทศไทยยังสามารถมีสวนน้ำได้มากกว่าที่เป็นอยู่
“ยังมีได้อีกเมื่อเทียบกับประเทศอื่น ก่อนที่เรามานี่มีแต่สวนน้ำในห้างกับสวนสยาม แต่ในต่างประเทศนี่ ในสหรัฐอเมริกา ซึ่งถือเป็นต้นกำเนิดทุกเมืองมีสวนน้ำหมด ขนาดเมืองเล็กๆ ก็มี บางเมืองมีสวนน้ำประมาณ 20 แห่ง คนไปเที่ยวปีนึงเป็นล้านๆ เมืองไทยเราเชื่อว่าถ้าพัฒนาไปได้ในระดับนึงเราสามารถมีสวนน้ำได้อีก และตอนนี้ก็เริ่มขึ้นมาตามมุมเมืองแล้ว พวกตั๋ว 50-200 บาท ในสเกลเล็กกว่า และมีเครื่องเล่นนิดหน่อย เชื่อว่าในอนาคตยังมีได้อีก เช่น ที่สมุยก็ยังไม่มีสวนน้ำ
ส่วนที่เราจะทำเอง อาจจะมีได้อีก 1-2 ที่ เราบอกแบบนี้ไม่ได้ว่าตลาดจะอิ่มตัว แต่เพราะว่าเราเปิดที่หนึ่งใช้เวลา 2-3 ปี เราเปิด 2 ที่ ก็ 6 ปีแล้ว หากเลยกว่านั้นไปก็ยังมีอยู่ แต่อาจจะไม่ใช่รูปแบบวันนี้ อาจจะเป็นการผสมระหว่างสวนน้ำกับเอนเตอร์เทนเม้นต์อื่นๆ มากขึ้น”
แต่อย่างไรก็ตาม คุณพราวพุธ กล่าวว่า การขยายธุรกิจของพราว เรียลเอสเตท จะยังคงเน้นแนวคิดการสร้างสินค้าและบริการที่อิงไปกับนักท่องเที่ยวเป็นหลัก ส่วนธุรกิจอสิงหาริมทรัพย์ก็จะทำต่อเมื่อได้ทำเลและคอนเซ็ปต์ที่ลงตัวจริงๆ
“การขยายธุรกิจส่วนใหญ่ยังคงเน้นกลุ่มนักท่องเที่ยว คือโรงแรม แล้วก็มีเอนเตอร์เทนเม้นต์ สัดส่วนโรงแรมประมาณ 60% เอนเตอร์เทนเม้นต์ 40% ส่วนที่พักอาศัยไม่ใช่แกนหลักเท่าไหร่ จะทำก็ต่อเมื่อมีจังหวะหรือโอกาสที่เข้ามา ไม่ใช่กลยุทธ์หลัก เพราะว่ามันเป็นธุรกิจครอบครัวด้วย เราเลยอยากที่จะครอบครองไว้มากกว่าที่จะขาย” คุณพราวพุธ กล่าว
เมื่อเทียบกับจังหวัดท่องเที่ยวที่อยู่ไม่ไกลจากกรุงเทพฯ คนส่วนใหญ่มักจะเปรียบเทียบหัวหินกับพัทยา ซึ่งพัทยาเองก็มีจุดแข็งในเรื่องของการมีศูนย์ประชุมขนาดใหญ่ และมีกิจกรรมที่จัดอย่างต่อเนื่องทุกเดือน
เกี่ยวกับเรื่องนี้คุณพราวพุธ มองว่า ทุกวันนี้ผู้ประกอบการในหิวหินต่างก็พยายามจัดกิจกรรมที่เป็นงานอีเวนท์ประจำปีขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นงาน Beach Polo แห่งเดียวของเอเชีย หรือการจัดกิจกรรม World Tennis ซึ่งเป็นการเชิญนักเทนนิสระดับโลกมาแข่งขันที่หัวหินซึ่งทำต่อเนื่องมาเป็นปีที่ 7 แล้ว
“เมื่อก่อนมี Jazz Festival ที่แรกๆ ที่จัดริมหาด แต่ก็เจอปัญหาน้ำขึ้นน้ำลง มีคนพยายามจัดหลายคน เราพยายามย้ายไปที่อารีน่า ปัญหาของหัวหิน คือ ไม่มีสถานที่ที่สามารถจุคนได้เป็นพันๆ พอไปจัดที่หาดมันก็เจอเรื่องพื้นที่ไม่พอ น้ำขึ้นลง ตอนนี้ทรู อารีน่า จุได้เป็นหมื่นคน เราน่าจะเห็นกิจกรรมดีๆ ในหัวหินที่คนกรุงเทพฯต้องบรรจุเข้าไปในปฏิทินมากขึ้น ว่าเดือนนี้ต้องไปหัวหิน”
ทุกวันนี้ หัวหินมีพื้นที่ที่สามารถรองรับการจัดงานประเภท MICE ขนาดใหญ่ คือ ถ้าเป็นงานจังหวัดจะมีลานเฉลิมพระเกียรติพระราชินีพื้นที่ 19 ไร่ สำหรับเอาไว้จัดงานแบบประเภทงานกาชาด แต่ถ้าเป็นการจัดงานแบบรวมห้องพักก็จะมีโรงแรมดุสิตที่ชะอำ ซึ่งมีขนาดใหญ่พอสมควร ส่วนที่หัวหินก็มีทรู อารีน่า พื้นที่ในอาคารขนาด 2,500 ตารางเมตร แล้วมีพื้นที่กลางแจ้งจุคนได้ประมาณ 10,000 คน
“เราก็ศึกษาอยู่ว่าหัวหินยังขาดอะไร ตลาด MICE ก็เป็นหนึ่งในนั้นที่มองว่ายังขาดอยู่ แต่ความเป็นไปได้ก็มี แต่ต้องรอดูเรื่องการคมนาคมก่อน ตรงนี้พัทยาจะได้เปรียบกว่า ซึ่งหัวหินก็กำลังจะมีมอเตอร์เวย์ ประมูลไปแล้ว อีก 2-3 ปี สร้างเสร็จจะเดินทางสะดวกต่อทางจากด่วนเลย ไม่ต้องลงดาวคะนอง แต่ไปถึงวังมะนาว และต่อทางมอเตอร์เวย์ไปลงชะอำเลย ตรงนี้จะช่วยได้มาก เพราะจะร่นเวลาให้เหลือไม่ถึง 2 ชั่วโมง
2. คือรถไฟความเร็วสูงแต่อาจจะหลายปีหน่อย แต่ระหว่างนี้ก็จะมีรถไฟรางคู่มาก่อน ทำให้การเดินทางจาก 4 ชั่วโมงเหลือ 2 ชั่วโมงนิดๆ ซึ่งเท่ากับรถแล้ว ถ้าตรงนี้พร้อมจริงก็เป็นไปได้ที่จะมีสถานที่ขนาดใหญ่เพื่อรับรอง MICE ที่ใหญ่จริงๆ ส่วนสนามบินตอนนี้ได้แค่เครื่องขนาดกลาง เป็นอะไรที่หาทางออกหรือปรับ อย่างแอร์เอเชียก็มีข่าวว่าพยายามหาเที่ยวบินมาลง คือเครื่องร้อยกว่าที่ก็ลงได้ที่ผ่านมามีแค่กานต์แอร์ ซึ่งเล็กมาก”
ช่วงท้ายของการสัมภาษณ์ ทีมงานอดสงสัยไม่ได้ว่าคุณพราวพุธ มี Role Model ในการทำงานหรือไม่
“ส่วนตัว Role Model คือคุณย่า ต้องเล่าตั้งแต่คุณย่าเริ่มทำงานตั้งแต่อายุ 14 ปี และแต่งงานตอนอายุ 14 ปี ส่วนคุณปู่ก็อายุ 16 ปี แต่งงานเร็ววัยรุ่นมาก เรียนจบป.4 ตอนแต่งคุณทวดให้เรือมา 1 ลำ ก็มาทำงานรับจ้างขนส่งพวกวัสดุก่อสร้าง เล็กๆ คุณปู่ดำลงไปตักหินคุณย่าเอาไปขายต่อ จากตรงนั้นต่อมาก็เริ่มมีเรือที่ใหญ่ขึ้นคุณพ่อกับคุณลุงนี่เรียกว่าแทบจะเกิดบนเรือ ทำมาพักนึงก็ขยายขึ้นบกมาตั้งบริษัทประยูรวิทย์ ซึ่งก็เจอปัญหาใหญ่ถึง 2 รอบ จนเกือบล้ม คุณย่าเหมือนว่าจะเป็นช้างเท้าหลังที่คอยซัพพอร์ตปู่ แต่เอาจริงเวลามีปัญหา คุณย่ามีส่วนสำคัญในการแก้ปัญหาให้
สมัยก่อนเวลาไปทำไซต์ก่อสร้าง คุณปู่จะไปดูแลไซต์งาน คุณย่าก็จะเก็บเศษเหล็กตะปูที่เหลือจากการก่อสร้างไปขาย ได้กำไรมาเพิ่ม แล้วก็แอบเอาเงินไปซื้อที่ดินเก็บ เลยมีที่ดินมาถึงตรงนี้
ย่าสอนว่า แม้ว่าเราจะเป็นเจ้าของธุรกิจ เราไม่ได้หมายความว่าเราจะสั่งๆ หรือให้ลูกน้องทำหมด มันจะไม่ได้ความเคารพ และเราจะไม่รู้ว่าใครที่จะทำได้ถูกใจเรา 100% เพราะฉะนั้นวิธีที่ดีที่สุด ก็คือ เราต้องลงไปทำงานกับเขา ลงไปคลุกคลีกับเขาจริงๆ”
คุณพราวพุธ กล่าวว่า ตนเองโชคดีที่มีครอบครัวคอยให้ความช่วยเหลือ ตั้งแต่การส่งเรียนจนจบต่างประเทศ รวมไปถึงการให้คำแนะนำในการเริ่มต้นธุรกิจ
“ระหว่างทางถามว่า พ่อมาช่วยไหม พราวเชื่อว่า ก็ต้องบอกว่าไม่มีครอบครัวไหนที่พ่อจะไม่มาช่วยลูก พอเรากลับไปถึงบ้านก็ต้องคุยกัน มีการขอคำปรึกษาอยู่แล้ว
ทุกวันนี้ เป็นเหมือนที่ปรึกษาห่างๆ พ่อเคยเป็น รมต.ที่ดูแลเรื่องการท่องเที่ยวมาก่อนก็จะมีประสบการณ์ในภาพใหญ่เกี่ยวกับเรื่องการท่องเที่ยว จะเห็นภาพใหญ่เรื่องกลยุทธ์ของประเทศ”