ประเทศไทยเรามีละครที่ออกฉายปีนึงเป็นร้อยๆ เรื่อง ละครจึงเป็นแม่เหล็กที่สะกดทุกสายตาและเป็นเช่นนี้มาหลายสิบปี
ที่ผ่านมารายได้ของสถานีและผู้จัดส่วนใหญ่จะมาจากค่าโฆษณา เพราะละครส่วนใหญ่ฉายในฟรีทีวี กระทั่งบริษัทผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าประดิษฐ์สิ่งที่เรียกว่า "รีโมทคอนโทรล" ขึ้นมา การตลาดแบบเดิมๆ จึงต้องปรับตัวตาม
จากแค่ทำรายการโฆษณาก็เพิ่มดีกรีขึ้น เริ่มจากการทำ Product Placement คือเอาแบรนด์สินค้าไปวางในฉาก ตามมาด้วย Product Movement คือ ให้นักแสดงหยิบจับสินค้าบ้างตามความเหมาะสม และ Product Experience คือการให้พูดถึงคุณสมบัติของสินค้าในบางโอกาสก็ยังมี
แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่นักการตลาดทุกคนต้องคำนึงถึงก็คือ การสื่อสารผ่าน Drama Content นี้ ทำอย่างไรให้บทสนทนาทุกอย่างไม่ว่าจะ Online หรือ Offline นั้น ย้อนกลับไปที่แบรนด์ของเราให้เยอะที่สุด และส่งผลกับยอดขายมากที่สุด
ต่าง Gen ต่างใจ
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ยังดูทีวีอยู่ไหม หรือว่าดูออนไลน์กันหมดแล้ว?
คำถามนี้เป็นคำถามคลาสสิกที่นักการตลาดและเอเยนซี่พยายามหาข้อเท็จจริงมานานหลายปีแล้ว
ล่าสุดก็มีผลสำรวจพฤติกรรมการรับชมละครหัวข้อ CONTENTOLOGY ซึ่งเป็นการศึกษาเชิงลึกที่ผสมผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์ของพฤติกรรมการบริโภค Content ของคน 3 กลุ่มในยุคปัจจุบัน ที่จัดทำขึ้นโดย IPG Mediabrands โดยมีการสำรวจกลุ่มตัวอย่างทั่วประเทศ 400 คน ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะทาง 11 คน และข้อมูลในบริษัทอีกกว่า 20,000 ชุด
ผลสำรวจดังกล่าวก็แบ่งพฤติกรรมการรับชมคอนเท้นต์ประเภทละครไว้อย่างน่าสนใจ คือ
1. Gen X = Drama Queen
ผลสำรวจพบว่า คนใน Gen นี้ส่วนใหญ่ ยังนิยมดูละครและอินกับนักแสดงหรือบทละครผ่านหน้าจอทีวีที่บ้านเป็นหลัก และยังมีความผูกพันอย่างต่อเนื่อง
2. Gen Y = Drama Conversationists
จากไลฟ์สไตล์ในชีวิตประจำวันของคน Gen ที่ Work Hard & Play Hard ไหนจะต้องทำงานหนัก เพราะเป็นช่วงก่อร่างสร้างตัว ไหนจะต้องสังสรรค์กับเพื่อน ทำให้คน Gen Y กว่าจะกลับบ้านละครก็ใกล้จบแล้ว แต่อย่างไรก็ตามผลวิจัยกล่าวว่าก็ยังดูละครทางทีวีอยู่ เพียงแต่มีการย้าย Drama ไปอยู่ในโลกของโซเชียลมีเดีย
พูดง่ายๆ ก็คือ ตาดูจอทีวี แต่มือก็กดมือถือเพื่อเม้าท์กับเพื่อนๆ ทางโซเชียล จนเป็นที่มาของคำว่า Drama Conversationists
3. Gen Z = Drama On The Go
ผลสำรวจชุดนี้ได้อธิบายข้อสงสัยที่ว่า Gen Z ไม่ดูละครว่า ที่แท้จริง คน Gen Z ก็ยังนิยมดูละครเหมือน Gen อื่นๆ เพียงแต่ว่าจะเป็นการดูละครและอินกับบทและนักแสดงแบบ Drama On The Go กล่าวคือ วิธีการดูละครจะสั้นมาก เลือกดูตอนที่เขาอยากดูเลย ไม่ดูตามเรียงตาม