ในมุมมองของ ณัฐวุฒิ มัธยมจันทร์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหารธุรกิจพักอาศัย บมจ. สิงห์ เอสเตท เขามองว่า COVID-19 ทำให้ตลาดที่อยู่อาศัยของไทยเปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจน โดยเฉพาะกับโครงสร้างตลาดในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา โดยตลาดอสังหาแนวตั้งหรือคอนโดมิเนียมมีการเติบโตแบบถดถอยลงถึง 27% แต่กลับกันตลาดบ้านเดี่ยวมีการเติบโตถึง 25% ส่วนทาวน์โฮมมีการเติบโตอยู่ที่ 37%
ถ้ามองในภาพใหญ่จะพบว่าสัดส่วนของตลาดคอนโดมิเนียมนั้นหดตัวลงมาเหลือ 39% ขณะที่บ้านเดี่ยวมีตัวเลขขยับไปอยู่ที่ 31% บ้านแฝดอยู่ที่ 9% และทาวน์โฮมอยู่ที่ 21%
ณัฐวุฒิ อธิบายเหตุผลของการเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมให้ฟังว่า “ด้วยเทรนด์ในปัจจุบันที่คนอยู่บ้านนานขึ้น เพราะปัญหา COVID-19 ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ต้องทำงานหรือเรียนที่บ้าน รวมถึงปัญหาการห้ามเดินทางออกนอกประเทศของชาวจีน ซึ่งเป็นลูกค้าสำคัญในตลาดคอนโดมิเนียม จึงทำให้ตลาดคอนโดมิเนียมเติบโตช้าลง
ซึ่งนี่คือที่มาของการปรับ Portfolio ในแผนงาน 5 ปีนับจากนี้
“บ้านนอกจากจะเป็นที่อยู่อาศัยแล้ว ยังต้องเป็นที่สังสรรค์ และที่ทำงานแบบ Work from Home ได้ด้วย สิงห์ เอสเตทจึงได้นำแนวคิดนี้มาออกแบบโครงการที่พักอาศัยแนวราบ และเพื่อต่อยอดจากความสำเร็จที่สามารถปิดการขายโครงการบ้านสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส ที่สะท้อนให้เห็นถึงความเข้าใจในความต้องการของผู้บริโภคของตลาดระดับบน”
ณัฐวุฒิ กล่าวเพิ่มเติมว่า สิงห์ เอสเตท วางไลน์ของสินค้าไว้เป็น 3 เซ็กเม้นต์ คือ
1. Super Luxury บ้านเดี่ยวระดับราคา 50-100 ล้านบาท
2. Luxury บ้านเดี่ยวระดับราคา 20-50 ล้านบาท
3. Affordable Luxury บ้านเดี่ยวระดับราคา 10-20 ล้านบาท
พร้อมกันนี้ สิงห์ เอสเตทได้มีการเปิดตัวแบรนด์ใหม่ล่าสุดในกลุ่ม Super Luxury ต่อจากแบรนด์สันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส โดยใช้ชื่อว่าศิรนินทร์ เรสซิเดนเซส (Siraninn Residences) ซึ่งจะมีการเปิดตัวโครงการมูลค่า 2,900 ล้านบาท ที่ถนนพัฒนาการในไตรมาสที่ 3 ของปีนี้
ส่วนในตลาด Luxury และ Affordable Luxury ทาง สิงห์ เอสเตทจะมีการเปิดตัวตามมาในเร็วๆ นี้