2. เห็นสินค้าที่มีนวัตกรรมมากขึ้น
ซาแฟร์ อัสทูเนอร์ กล่าวว่า ฮิตาชิจะพัฒนาสินค้าโดยใช้นวัตกรรมและเทคโนโลยี เพื่อให้สินค้ามีประโยชน์กับผู้ใช้งาน สูงสุด อาทิ ตู้เย็นที่มีระบบช่องแช่อาหารระบบสุญญากาศ (Vacuum Compartment) ซึ่งทำให้เก็บอาหารได้นานยิ่งขึ้น, เครื่องซักผ้าที่คำนวณน้ำยาซักผ้าให้พอดีกับปริมาณผ้าที่ซักในแต่ละครั้ง เพราะถ้าผู้ใช้งานใส่น้ำยามากเกินไป น้ำยาซักผ้าที่ล้างออกไม่หมดจะติดไปกับเสื้อผ้า หรือจะเป็นเครื่องดูดฝุ่นที่ใช้เลเซอร์เข้ามาช่วยให้เห็นฝุ่นได้ง่ายขึ้น
“ด้วยนวัตกรรมและเทคโนโลยีการผลิตของอาร์เซลิก รวมทั้งกำลังการผลิตในประเทศไทยของฮิตาชิ ทำให้เราสามารถเสริมทัพกลุ่มผลิตภัณฑ์ของฮิตาชิด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ และได้ขยายหมวดหมู่ผลิตภัณฑ์ใหม่ อาทิ เครื่องล้างจาน เครื่องอบผ้า เครื่องชงกาแฟ”
ผู้บริหารสูงสุดของอาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ เสริมอีกว่า “เราไม่เพียงแต่เพิ่มหมวดหมู่ด้วยผลิตภัณฑ์ใหม่เท่านั้น แต่เรายังเสริมด้วยนวัตกรรมที่มีคุณสมบัติที่โดดเด่นและอัจฉริยะในผลิตภัณฑ์กลุ่มนั้นอีกด้วย เครื่องซักผ้าฝาหน้าและเครื่องซักอบผ้าของเราที่เพิ่งเปิดตัวใหม่ไปนั้น เริ่มเป็นที่สนใจในกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ด้วยคุณสมบัติและเทคโนโลยีขั้นสูงอย่าง ออโตโดส (Autodose) หรือระบบจ่ายน้ำยาซักผ้าและน้ำยาปรับผ้านุ่มอัตโนมัติ เอไอวอช (AI wash) หรือระบบการซักอัจฉริยะ ระบบรีดด้วยลมร้อน (Wind Iron) และระบบสั่งการผ่านอินเทอร์เน็ต (IoT) จุดแข็งเหล่านี้จะช่วยขยายฐานลูกค้าและช่วยเพิ่มยอดขายของแบรนด์ในทุกประเทศทั่วโลก”
3. เน้นการทำธุรกิจเพื่อความยั่งยืน
ในมุมมองของ ซาแฟร์ อัสทูเนอร์ เกี่ยวกับเรื่อง Sustainable Business เขามองว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องใหญ่ที่ทุกบริษัทต้องให้ความสำคัญ เหตุผลมาจากถ้าลูกค้าอยู่ไม่ได้ บริษัทก็ไปต่อไม่ได้ โดยอาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ ได้วางกรอบการทำ งานในภาพใหญ่ไว้ 3 ด้านคือ In Touch With Planet, Human Needs และ Business
“เราจะสานต่อความมุ่งมั่นในการเปลี่ยนแปลงธุรกิจ ควบคู่ไปกับการปกป้องโลก อาร์เซลิก ฮิตาชิ โฮม แอพพลายแอนซ์ จะดำเนินการตามแนวทางด้านความยั่งยืนที่อาร์เซลิกและฮิตาชิ โกลบอล ไลฟ์ โซลูชันส์ ได้ทำมาตลอดระยะเวลาหลายปี และในฐานะที่เป็นบริษัทระดับโลก อาร์เซลิก-ฮิตาชิ ตั้งเป้าที่จะบูรณาการความยั่งยืนเข้ากับทุกขั้นตอนทางธุรกิจและห่วงโซ่คุณค่าทั้งหมด”
ซาแฟร์ อัสทูเนอร์ ยกตัวอย่างให้ฟังว่า ปัจจุบันกว่าร้อยละ 20 ของพลังงานที่ใช้ในโรงงานผลิตในอำเภอกบินทร์บุรีของเรามาจากพลังงานแสงอาทิตย์บนทุ่นลอยน้ำ สามารถลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ได้ถึง 6,000 ตันต่อปี