หากไล่เรียง ความสำเร็จที่เกิดกับยาคูลท์ในประเทศไทยแล้ว จะพบว่า
1.เรื่องของรสชาติของผลิตภัณฑ์ที่คนไทยคุ้นลิ้นมากว่าครึ่งศตวรรษ เป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การสวิชชิ่ง หรือเปลี่ยนแบรนด์เป็นเรื่องที่ทำได้ยากขึ้น ยิ่งสินค้าประเภทนี้ เป็นสินค้าที่ต้องเข้าปาก เรื่องของความคุ้นชินกับรสชาติจึงถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จในการทำตลาด
2.ระบบขายตรงที่แข็งแกร่ง มีส่วนอย่างมากในการผลักดันสินค้าเข้าถึงมือลูกค้าในทุกๆ วัน ซึ่งยาคูลท์เป็นแบรนด์แรก และแบรนด์เดียวในตลาดนมเปรี้ยวคัลเจอร์ โยเกิร์ต ที่ไม่มีการเปลี่ยนรูปแบบการขาย แม้โมเดิร์นเทรดจะทรงพลังขึ้นก็ตาม โดยการเข้าไปวางขายในตู้แช่ของร้านชำนั้น จะเป็นการรับเข้าไปขายด้วยการผ่านสาวยาคูลท์ที่มีความสนิทชิดเชื้อกับเจ้าของร้านชำในพื้นที่มากกว่าการผลักดันของบริษัทแม่
3.ไม่เพียงแค่การขาย แต่สาวยาคูลท์ ยังทำหน้าที่เป็นแบรนด์ แอมบาสเดอร์ ที่นอกจากจะสื่อสารแบรนด์ได้ตรงจุดอย่างเข้าใจแล้ว ยังแทบจะจำหน้าหรือชื่อคนซื้อได้เป็นอย่างดีอีกด้วย จึงรู้ว่าจะสื่อสารกับลูกค้าแต่ละกลุ่ม หรือแต่ละคนอย่างไรบ้าง
4.เป็นเครือข่ายการทำ CRM ที่ทรงพลัง โดยแทบไม่ต้องลงทุนระบบการทำลอยัลตี้ โปรแกรมเท่าไรนัก เพราะด้วยการอยู่ในตลาดมานาน ทำให้มีเครือข่ายของสาวยาคูลท์ที่เข้าใจความต้องการของลูกค้า และพร้อมจะนำข้อมูลกลับมาพัฒนาเป็นรูปแบบในการให้บริการที่สร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าอย่างต่อเนื่อง
5.การที่จะ Engage และดึงให้สาวยาคูลท์อยู่กับบริษัทนานๆ นั้น มีเคล็ดลับหลายอย่าง ตั้งแต่เรื่องของเงินเดือนแล้ว ยังมี ส่วนแบ่งจากยอดขายประมาณ 0.75 สตางค์/ขวด แม้จะดูว่าเป็นส่วนต่างที่น้อยแต่เชื่อหรือไม่ว่าการบริหารจัดการของบริษัทที่กำหนดเขตการขายของสาวยาคูลท์แต่ละคนอย่างชัดเจนไม่มีทับซ้อนกัน ทำให้สาวยาคูลท์ 1 คนสามารถขายยาคูลท์ในแต่ละวันได้ไม่ต่ำกว่า 800 ขวด มีรายได้เฉลี่ยต่อวันประมาณ 510 บาท รวมถึงมีโบนัสการขายทุกๆ 3 เดือน นอกจากนี้ ยังมีรายได้จากโบนัสรายเดือนเฉลี่ยประมาณ 2,000 บาท ทำให้มีรายได้รวมอยู่ที่ประมาณ15,000 บาทขึ้นไป
ไม่เพียงเท่านั้น ยังมีสวัสดิการในรูปแบบของค่ารักษาพยาบาลประกันอุบัติเหตุที่พักอาศัยในรูปแบบหอพักสำหรับสาวยาคูลท์ โดยจะมีรถจักรยานยนต์ให้ใช้ในการปฏิบัติงานส่วนสาวยาคูลท์ที่มีครอบครัว จะสนับสนุนด้านการศึกษาสำหรับบุตรโดยมีทุนการศึกษา ค่าเล่าเรียนบุตรของสาวยาคูลท์อีกด้วย