ที่ผ่านมา เซ็นทรัลพัฒนามีการลงทุนทำโครงการที่อยู่อาศัยไปแล้ว 19 โครงการ ส่วนโครงการที่ 20 กำลังดำเนินการอยู่ภายใต้แบรนด์เอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการก่อสร้าง จะมีทั้งหมด 2 อาคาร เฉลี่ยลงทุน 500 ล้านบาท/อาคาร (ไม่รวมที่ดิน) คาดว่าจะใช้เวลา 2 ปีจึงจะแล้วเสร็จ ซึ่งจะเข้ามาเติมเต็มให้ศูนย์การค้าเซ็นทรัล อยุธยา มีความสมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้นในฐานะของการเป็นโครงการมิกซ์ยูสที่ประกอบไปด้วยศูนย์การค้า คอนโดมิเนียม โรงแรม และห้องคอนเวนชั่น ฮอลล์
สิ่งที่น่าสนใจก็คือการลงทุนในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัยของซีพีเอ็นนั้น ส่วนหนึ่งจะอาศัยจุดแข็งของการอยู่ในธุรกิจค้าปลีกมานานเข้ามาเป็นตัวช่วยสนับสนุน โดยเฉพาะการทำโครงการศูนย์การค้าที่เปิดทั่วประเทศไปแล้วถึง 35 ศูนย์ พิสูจน์ให้เห็นแล้วว่า เป็นตัวช่วยเร่งกระตุ้นในเรื่องของการสร้างความเจริญ และช่วยเพิ่มมูลค่าให้กับโครงการที่ทำโดยโครงการที่ทำภายใต้แบรนด์ “เอสเซ็นท์ วิลล์” พัฒนามาแล้ว 12 โครงการ ใน 8 จังหวัด ส่วนใหญ่ขายหมดในครึ่งปี แต่จากสถานการณ์โควิดเกิดขึ้น ระยะการขายน่าจะยืดออกไปเป็น 1 ปี สำหรับ เอสเซ็นท์ วิลล์ อยุธยา ถือเป็นไฮเอนด์คอนโดมิเนียมที่ตอบโจทย์ลูกค้ากลุ่มเดียวกับศูนย์การค้าเซ็นทรัล ที่มีกำลังซื้อสูง และกลุ่มข้าราชการระดับสูงของจังหวัด ที่มองเป็นการลงทุน โดยซื้อเป็นที่อยู่อาศัยหลังที่ 2 สัดส่วน 80% และซื้อเป็นบ้านหลังแรก 20%
ในทางกลับกัน การลงทุนทำโครงการที่อยู่อาศัยของซีพีเอ็นนั้น นอกจากการมองเห็นโอกาสในการขยายฐานการเติบโตของธุรกิจในเครือที่มีทั้งการพัฒนาที่ดินเพื่อการค้าปลีก และการทำในส่วนของโรงแรม ไปสู่การสร้างขาธุรกิจที่แข็งแกร่งในส่วนที่เป็นโครงการที่อยู่อาศัย ซึ่งจะเข้ามาช่วยสร้างการเติบโตแบบยั่งยืนในระยะยาวอีกด้วย
หากมองเข้ามาที่ปัจจัยสนับสนุนในการเทน้ำหนักมาที่การทำโครงการอสังหาริมทรัพย์มากขึ้นนั้น ไล่เรียงดูแล้ว จะมาจาก 4 ปัจจัยสำคัญ คือ
1.การลงทุนในส่วนดังกล่าว เข้ามาช่วยทำให้โครงการในลักษณะ “มิกซ์ยูส” มีความสมบูรณ์แบบมากขึ้น โดย “มิกซ์ยูส” ยังคงเป็นเทรนด์ของการพัฒนาที่ดินในทั่วโลก เพราะนอกจากจะตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคแล้ว มิกซ์ยูสยังเข้ามาช่วยสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับโครงการที่ลงทุนอีกด้วย ทำให้เราได้เห็นการลงทุนของผู้ประกอบการรายใหญ่ๆ ในตลาดที่เทมาที่การทำโครงการ “มิกซ์ยูส” ที่เป็นการผสมผสานระหว่างอาคารสำนักงาน ศูนย์การค้า โรงแรมขนาดใหญ่ และเรสซิเดนเชียล หรือโครงการที่พักอาศัย
การพัฒนาโครงการในลักษณะของมิกซ์ยูส จึงกลายเป็นกลยุทธ์หลักของการทำโครงการศูนย์การค้าของเซ็นทรัลพัฒนา โดยศูนย์การค้าทั้ง 35 แห่งที่รวมเซ็นทรัลอยุธยามีตัวเลขของโครงการที่เป็นมิกซ์ยูสเกินกว่า 10 แห่ง ซึ่งบางโครงการที่มีพื้นที่มากพอจะมีการปรับให้เป็นมิกซ์ยูสในกรณีที่ยังไม่มี โดยโครงการที่อยู่อาศัยจะเป็นจิ๊กซอว์สำคัญในการเติมเต็มในเรื่องที่ว่านี้
2.นอกจากโครงการของซีพีเอ็นแล้ว ยังมีการมองถึงการเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของการทำโครงการศูนย์การค้าภายใต้แบรนด์โรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ซึ่งเป็นศูนย์การค้าขนาดกลางที่บริหารโดยบริษัทในเครือของกลุ่มเซ็นทรัลอย่าง ซีอาร์ซี หรือเซ็นทรัล รีเทล คอร์ปอเรชั่น ซึ่งจะเข้ามาช่วยเติมเต็มความสมบูรณ์แบบให้กับโรบินสัน ไลฟ์สไตล์ ให้ก้าวขึ้นไปเป็นศูนย์การค้า “มิกซ์ยูส” อีกแบรนด์ของกลุ่มเซ็นทรัล