เพื่อขับเคลื่อนเจตนารมณ์ในการเปิดพลังแห่งอาหาร เพื่อเพิ่มพูนคุณภาพชีวิตที่ดี เพื่อทุกคนในวันนี้และในอนาคต คุณวิคเตอร์ ย้ำว่า บริษัทจะพยายามรักษาความเป็นผู้นำในตลาดด้วยการพัฒนานวัตกรรมโดยยึดความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก แนวทางคือการมีวิธีคิดขององค์กรแห่งนวัตกรรมและมีจิตวิญญาณแห่งการเป็นผู้ประกอบการที่ส่งเสริมให้เกิดวัฒนธรรมของการรับความเสี่ยงได้บนฐานที่คำนวณไว้แล้วและมีความยืดหยุ่น นวัตกรรมที่จะสร้างสรรค์ต่อไปในอนาคตจะต้องช่วยให้ธุรกิจเติบโตได้อย่างยั่งยืนไม่ว่าจะในด้านใด ตั้งแต่ด้านการรักษากลุ่มผลิตภัณฑ์หลักไปจนถึงการสร้างโอกาสให้สร้างสรรค์สิ่งใหม่ที่ทำให้แบรนด์และโมเดลธุรกิจใหม่มีความน่าตื่นตาตื่นใจมากขึ้น หัวใจสำคัญคือเนสท์เล่ ประเทศไทย จะต้องมีความคล่องตัว ปรับตัวอย่างรวดเร็วและทำให้เราอยู่ในสายตาของผู้บริโภคและกลุ่มนักช้อปเสมอ
“เราต้องใกล้ชิดกับผู้บริโภคเสมอ เพื่อให้มั่นใจได้ว่า เนสท์เล่ ประเทศไทย แบรนด์ของเรา ผลิตภัณฑ์ของเรา และการสื่อสารของเรานั้นอยู่ในสายตาของผู้บริโภคและเกี่ยวข้องกับชีวิตของผู้บริโภคเสมอ ภาวะโรคระบาดได้เข้ามาเปลี่ยนวิถีชีวิตและพฤติกรรมของผู้บริโภค ซึ่งการเปลี่ยนแปลงต่างๆ เหล่านี้ จะพัฒนาต่อไปอีกแม้โรคระบาดจะสิ้นสุดลง พร้อมกับมีความท้าทายใหม่ๆ เข้ามา เช่น การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่จากดิจิทัล (Digital Disruption) ลูกค้าและพนักงานมีความต้องการเปลี่ยนไป สภาพภูมิอากาศเปลี่ยน กระแสทวนกลับของโลกาภิวัตน์ และอีกมากมาย”
เนสท์เล่ พร้อมที่จะปรับตัวเพื่อเสริมศักยภาพความแข็งแกร่งและยืดหยุ่น (Resilience) พร้อมมีความคล่องตัว (Agile) ในการดำเนินงานมากขึ้น และขับเคลื่อนต่อไปด้วยสปีดและสเกลที่ดีขึ้น พร้อมพัฒนานวัตกรรมเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภคเป็นหลัก