และล่าสุด บริษัทฯ ได้บริจาคเงินผ่านสำนักงาน คปภ. จำนวน 2,000,000 บาท ใน “โครงการประกันภัยรวมใจ มอบวัคซีนต้านโควิดสู่ประชาชน” เพื่อใช้ในการจัดสรรวัคซีนซิโนฟาร์ม จากราชวิทยาลัยจุฬาภรณ์ให้กับประชาชน ซึ่งเป็นการช่วยเหลือประชาชนในการเร่งสร้างภูมิคุ้มกันหมู่ และลดการแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 (COVID-19)
คุณสาระ ยังกล่าวเสริมถึงการแสดงความรับผิดชอบต่อสังคมในฐานะธุรกิจประกันชีวิตว่าผลจากการร่วมมือกันระหว่างสมาคมประกันชีวิตไทย สมาคมประกันวินาศภัย และสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย (คปภ.) ได้ออกนโยบายหรือแนวทางการปฏิบัติที่เหมาะสมกับสถานการณ์ปัจจุบัน เช่น การอนุโลมการขยายความคุ้มครองการจ่ายค่ารักษาพยาบาลสำหรับผู้เอาประกันภัยที่มีค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยใน (IPD) ค่ารักษาพยาบาลผู้ป่วยนอก (OPD) และชดเชยรายวัน กรณีที่มีการรักษาตัวแบบ Home Isolation หรือ Community Isolation ผู้เอาประกันภัยสามารถเบิกค่ารักษาพยาบาลได้ตามจริง รวมถึงการอนุโลมในเรื่องของการขาดชำระเบี้ยประกันโดยไม่คิดดอกเบี้ยเพิ่มและสามารถต่ออายุกรมธรรม์ได้
ที่สำคัญ ยังมีอีกหลายๆ เรื่องที่กำลังเกิดขึ้นอยู่ในปัจจุบัน และสร้างความท้าทายครั้งใหม่ของเมืองไทยประกันชีวิต ที่ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตได้ตระหนักถึงความสำคัญของเรื่อง ESG (Environment, Social, และ Governance) ในการพัฒนาองค์กรธุรกิจเพื่อสร้างความยั่งยืน โดยเฉพาะเรื่องสังคมผู้สูงอายุในไทยที่กำลังจะเกิดขึ้น
คุณสาระ ย้ำว่า โควิด-19 ทำให้เห็นสิ่งต่างๆ อยู่หลายเรื่อง เช่น เรื่องของพื้นฐานรายได้ และพื้นฐานการออม ในมุมของเมืองไทยประกันชีวิตจึงได้เล็งเห็นถึงความสำคัญดังกล่าวในการเสริมสร้างความรู้ความเข้าใจเรื่อง Financial Literacy เพื่อเป็นส่วนหนึ่งที่มีบทบาทสำคัญในการช่วยเตรียมความพร้อมทางด้านการเงินให้กับสังคมของผู้สูงวัย เช่น การขยายความคุ้มครองของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพและโรคร้ายแรง (Health & CI) ให้ยาวนานขึ้น และการมีผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตที่ให้ความคุ้มครองสุขภาพที่อยู่ในระดับที่เหมาะสมและเพียงพอต่อค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นเมื่อเจ็บป่วยในอนาคต
อย่างไรก็ตาม เมืองไทยประกันชีวิต เป็นบริษัทธุรกิจประกันชีวิตที่มีจุดเด่นด้านความแข็งแกร่งในเรื่องนวัตกรรมและการพัฒนาผลิตภัณฑ์ โดยมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์ที่ตอบโจทย์ความต้องการแบบเฉพาะเจาะจง (Personalized) ให้กับลูกค้าและพันธมิตรต่างๆ ใน Ecosystem ได้อย่างครอบคลุม
วันนี้เมืองไทยประกันชีวิตจึงตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค ด้วยการนำเสนอแบบประกันสุขภาพ “อีลิท เฮลท์” และ “ดีเฮลท์” ซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์ที่มาจากการเรียนรู้ในความต้องการของลูกค้า รวมถึงแบบประกันโรคร้ายแรง “ดีแคร์” ที่ลูกค้าสามารถเลือกความคุ้มครองทุกอย่างด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะเป็นกลุ่มโรคที่ต้องการความคุ้มครอง ระยะของโรคร้ายแรง และทุนประกันที่ต้องการ
จากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทางบริษัทฯ จึงพยายามศึกษาเรื่องของผลิตภัณฑ์ประกันชีวิตประเภทสัญญาเพิ่มเติมการประกันสุขภาพที่ให้ความคุ้มครองสุขภาพและครอบคลุมความคุ้มครองที่เป็นเรื่องของโควิด-19 โดยการออกแบบผลิตภัณฑ์ดังกล่าวได้นำหลักการของนักคณิตศาสตร์ประกันภัยมาใช้ เพื่อสามารถมีเบี้ยประกันภัยอยู่ในระดับอัตราที่เหมาะสม และสามารถบริหารความเสี่ยงต่างๆ สำหรับผู้เอาประกันภัยได้เป็นอย่างดี ที่ต่อยอดไปสู่ความยั่งยืนและตอบโจทย์ผู้บริโภคได้มากที่สุด
“การพัฒนาแบบประกัน เป็นการตอบโจทย์ในมุมของสังคม (Social) หรือตัว S ของ ESG เพื่อต่อยอดไปสู่ความยั่งยืน และสามารถช่วยสังคมได้ในหลากหลายมิติ โดยเฉพาะในมิติของสังคมผู้สูงวัยที่อยากให้กลุ่มผู้สูงวัยทุกคนสามารถพึ่งพาตัวเองได้เมื่อถึงวัยเกษียณ ถือว่าเป็น Passion ใหม่ๆ ที่ผมอยากทำ แต่จะทดลองทำจากคนข้างในองค์กรก่อน และถ้าสามารถทำออกมาได้ดีแล้วจะขยายผลออกไปสู่ภายนอกองค์กร ด้วยสเกลที่สามารถจับต้องได้และใช้ได้จริง แม้เมืองไทยประกันชีวิตอาจเป็นแค่ส่วนเล็กๆ ของสังคม แต่ก็อยากมีส่วนร่วมในการผลักดันให้สังคมก้าวไปสู่ความยั่งยืนอย่างแท้จริง” คุณสาระ กล่าว ®