ผศ.พญ.ศศิธร สุจริตธนะการ ศัลยแพทย์มะเร็งเต้านม ศีรษะ และลำคอ โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ กล่าวว่า สิ่งที่ผู้ป่วยมะเร็งเต้านมอาจจะต้องพบเจอตลอดชีวิตคือ ภาวะแขนบวมหลังการรักษามะเร็งเต้านม (Lymphedema and Breast Cancer) เป็นอาการแขนบวมที่เกิดขึ้นหลังจากการผ่าตัดหรือรังสีรักษา อาจเกิดขึ้นทันทีหรือหลังการรักษาไปแล้วหลายปี โดยเกิดขึ้นกับแขนข้างเดียวกับที่เป็นมะเร็งเต้านม เกิดได้ตั้งแต่นิ้วมือไปจนถึงต้นแขน หากมีอาการบวมน้อยจะยังใช้แขนได้ปกติแต่ถ้ามีอาการบวมมากอาจจะใช้แขนไม่ได้ตามปกติ ทั้งนี้เป็นผลจาก
1) ได้รับการผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองบริเวณรักแร้ออกเพื่อรักษามะเร็งเต้านม การผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองออกในปริมาณมาก แขนจะมีโอกาสบวมเพิ่มขึ้น ซึ่งการผ่าตัดจะมาหรือน้อยขึ้นกับระยะของโรคมะเร็งที่ตรวจพบ และหากเนื้อเยื่อบริเวณที่ผ่าตัดเกิดพังผืดอาจส่งผลให้ท่อน้ำเหลืองเกิดพังผืด จนทำให้ทางเดินน้ำเหลืองอุดตันส่งผลให้เกิดภาวะแขนบวมได้
2) การฉายรังสีรักษาบริเวณรักแร้และ/หรือเต้านม อาจทำให้เกิดพังผืดที่บริเวณรักแร้และทำให้เกิดผังพืดที่ท่อน้ำเหลือง ส่งผลให้เกิดการอุดตันจนแขนบวมได้ ถ้าผู้ป่วยผ่าตัดต่อมน้ำเหลืองรักแร้และฉายรังสีด้วย โอกาสแขนบวมก็จะยิ่งมากขึ้น
3) แขนติดเชื้อ หลังการรักษาด้วยการผ่าตัดและรังสีรักษาอาจทำให้เกิดการคั่งของน้ำเหลือง ส่งผลให้แขนมีโอกาสเกิดการติดเชื้อได้ง่ายยิ่งขึ้น เมื่อติดเชื้อและรักษาหายพังผืดในเนื้อเยื่อแขนจะเพิ่มขึ้น ทางเดินน้ำเหลืองจะอุดตันเพิ่มขึ้น ส่งผลให้แขนบวมมากขึ้นและติดเชื้อง่ายขึ้น เป็นอาการเรื้อรัง เป็นแล้วหายหลายรอบตามมา
4) โรคมะเร็งกลับมาเป็นซ้ำ ทำให้เซลล์มะเร็งแพร่กระจายอุดตันทางเดินน้ำเหลืองของแขน ส่งผลให้แขนบวม อาการของภาวะแขนบวมที่สังเกตได้ง่าย คือจะมีอาการแขนบวม ปวด ชา อ่อนแรง แขนติด เคลื่อนไหวไม่เป็นปกติ ผิวหนังหนาไม่เรียบ ใส่เสื้อผ้าหรือเครื่องประดับแล้วรู้สึกคับไม่สบายตัว
การตรวจวินิจฉัยภาวะแขนบวมแพทย์จะประเมินหลังจากการผ่าตัดผ่านไปแล้วประมาณ 6 เดือน เพราะเป็นช่วงเวลาที่คนไข้เกิดอาการมากที่สุด ซึ่งจะประเมินได้จากภาพถ่ายเปรียบเทียบแขนทั้ง2ข้าง การวัดเส้นรอบวงแขนเหนือศอก การวัดปริมาตรแขน รวมถึงการตรวจอื่น ๆ ร่วมด้วย เช่น Lymphoscintigraphy, MRI, CT Scan เป็นต้น ขึ้นอยู่กับดุลยพินิจของแพทย์ ขั้นตอนการรักษาจะเริ่มด้วยการ
1) ลดปัจจัยเสี่ยงที่ทำให้เกิดการบวม ต้องระวังอย่าให้เกิดแผลที่แขนหรือติดเชื้อ ถ้าแผลเล็กต้องเช็ดทำความสะอาดทุกครั้งก่อนทายา ถ้าแผลใหญ่หรือแผลลึกต้องรีบพบแพทย์ทันที ควรเลือกผลิตภัณฑ์บำรุงผิวให้ชุ่มชื้น ไม่เจาะเลือด ฉีดยา ฉีดวัคซีนแขนด้านที่ผ่าตัด ใส่ถุงมือยางเมื่อทำงานบ้าน ไม่ควรบีบรัดแขนแน่น ไม่ใส่เสื้อขนาดเล็กเกินไปหรือเครื่องประดับที่รัดแขนข้างที่ผ่าตัด ละเว้นการยกของหนัก ไม่ออกกำลังที่ต้องใช้กำลังแขนหรือใช้แขนตลอดเวลา ระวังการอาบน้ำร้อนเกินไปหรืออบตัวด้วยความร้อนมากเกินไป หากนั่งนิ่งเป็นเวลานานควรยกแขนสูงกว่าระดับหัวใจ ควบคุมน้ำหนักไม่ให้อ้วนเพราะเป็นอีกสาเหตุที่ทำให้แขนบวมได้ หมั่นสังเกตแขนด้านที่ผ่าตัด หากบวมหรือผิดปกติต้องรีบพบแพทย์ทันที ในคนที่มีภาวะแขนบวมแล้วการนวดแขนไล่น้ำเหลือง ใส่ปลอกแขนรัดไล่น้ำเหลือง ใช้เลเซอร์กระตุ้นการหมุนเวียนของเลือดและน้ำเหลืองจะช่วยให้อาการบวมลดลงได้
2) การผ่าตัด ด้วยผ่าตัดเชื่อมท่อน้ำเหลืองกับเส้นเลือดดำ เพื่อให้น้ำเหลืองไหลกลับได้ดี การผ่าตัดปลูกถ่ายต่อมน้ำเหลืองอาจพิจารณาในคนไข้ที่มีอาการมาก การผ่าตัดเนื้อส่วนเกินและ/หรือดูดไขมันออกช่วยลดปริมาตรของแขนที่บวมในคนไข้ที่มีอาการมากแล้วอาจพิจารณาในคนไข้บางราย หากคนไข้ได้รับการผ่าตัดมะเร็งเต้านมทั้งสองข้าง อาจทำให้เกิดภาวะแขนบวมทั้งสองข้างได้เช่นกัน วิธีการดูแลรักษาจะเป็นวิธีเดียวกันกับแขนบวมข้างเดียว แต่ในเวลาที่ต้องใช้งานแขนควรเลือกแขนข้างที่บวมน้อยกว่า
ศูนย์เต้านม โรงพยาบาลมะเร็งกรุงเทพ วัฒโนสถ ขอเป็นส่วนหนึ่งในการรณรงค์ให้ผู้หญิงไทยใส่ใจในสุขภาพหมั่นตรวจเช็กเต้านมของตัวเอง เพราะมะเร็งเต้านมเมื่อตรวจพบในระยะแรก ๆ จะทำให้การรักษามีประสิทธิภาพเพิ่มโอกาสการรักษาให้หายได้ แม้ว่ามะเร็งเต้านมจะป้องกันได้ โดยการลดปัจจัยเสี่ยง แต่เราสามารถตรวจคัดกรองได้ตั้งแต่ยังไม่มีอาการ ควรตรวจด้วยวิธีคลำด้วยตนเองทุกเดือน ตั้งแต่อายุ 20 ปีควรให้แพทย์ตรวจทุก 3-5 ปี และสำหรับผู้หญิงที่อายุ 40 ปีขึ้นไปควรตรวจคัดกรองมะเร็งเต้านมด้วยดิจิทัลแมมโมแกรมและอัลตราซาวนด์ทุกปี และหากมีคนในครอบครัวเป็นมะเร็งอาจต้องตรวจเร็วขึ้นตั้งแต่อายุ 35 ปี เพราะหากตรวจพบตั้งแต่ระยะเริ่มแรก จะทำให้ได้รับการรักษาอย่างทันท่วงที และสามารถลดการสูญเสียเต้านมไปได้อีกด้วย