R = Resources ทรัพยากรที่มีจำกัด
ทรัพยากรในที่นี้ เราหมายถึง อาหาร กับ น้ำ เป็นหลัก เพราะว่าน้ำใช้ในทุกๆ เรื่องของชีวิตไม่ใช่แค่เรากินน้ำแต่ในทุกๆ อุตสาหกรรมใช้น้ำ อย่างอุตสาหกรรมใช้น้ำจำนวนมหาศาลตั้งแต่กระบวนการผลิตการจัดจำหน่าย หรือว่าออกมาเป็นสินค้าแล้วก็ยังใช้น้ำอยู่ หรือในส่วนของอาหารที่ทุกคนต้องกิน แล้ววันนี้อาหารที่มีคุณภาพจริงๆ ใช้ทรัพยากรเยอะมาก ยกตัวอย่างเช่น เราจะเลี้ยงวัว 1 ตัวให้มาเป็นเนื้อวัวที่ดีที่สุด ต้องใช้วัตถุดิบอะไรบ้าง ต้องกินหญ้าที่ดี ต้องกินสิ่งที่ดีซึ่ งต้องใช้ทรัพยากรเยอะมาก เราจึงต้องพึ่งพาแนวทาง "Take-make-dispose" โดยเราสามารถใช้ของร่วมกันและเพิ่มประสิทธิภาพของผลิตภัณฑ์ซึ่งเราจะต้องลดการสร้าง Waste และนำ Waste ที่มีอยู่มาผลิตใหม่และนำกลับมาใช้อีกครั้ง
I = Inequalities ความไม่เท่าเทียมทางสังคม
ข้อต่อมา คือเรื่องของความไม่เท่าเทียมกันในสังคม ทุกคนต้องตระหนัก อย่างที่เราเห็นก็คือว่ามันเกิดขึ้นจริงในสังคมไม่ว่าจะเป็น อายุ เพศ การศึกษา ทุกอย่างมันมีความไม่เท่าเทียมกันเกิดขึ้นกันอยู่ หลักๆ เลยก็คือเรื่องของรายได้ ความจน ความรวย
คนที่มีรายได้เยอะก็จะมีโอกาสในการที่จะหาเงินหารายได้ตลอด คนที่มีรายได้น้อยก็จัดน้อยอยู่อย่างนั้นจะวนเวียนอยู่อย่างนั้น พอมีเงินเยอะก็จะยิ่งบวกขึ้นไป ในขณะที่คนรายได้น้อยก็จะกัดจะแค่หมุนเวียนแค่นั้นไม่อาจที่จะเอาต่อยอดไปทำอะไรได้ เพราะฉะนั้น Gap ที่เกิดขึ้นก็จะกว้างขึ้นเรื่อยๆ
สิ่งที่น่าสนใจก็คือกลุ่มที่อยู่ตรงกลางที่เป็นพวก Middle Income เราอาจจะมองภาพว่ากลุ่มนี้อาจจะเพิ่มขึ้นไปอยู่ในระดับบน แต่ในความเป็นจริงแล้วกำลังที่จะเคลื่อนลงไปอยู่ในระดับล่างเพราะว่าเชื่อมโยงกับข้อที่ 4 ในเรื่องของเทคโนโลยีที่จะเข้ามาทดแทนกำลังคนที่มีรายได้ระดับกลางเสียเป็นส่วนใหญ่
ในข้อนี้เราสามารถที่จะพิจารณาได้เลยว่าอะไรที่จะอยู่ อะไรที่จะไม่อยู่ อะไรที่เทคโนโลยีสามารถที่จะเข้ามาทดแทนกำลังคนได้ อะไรที่เทคโนโลยีไม่สามารถทดแทนแรงงานได้ ตรงนี้ก็เป็นสิ่งที่ทำให้แบรนด์ธุรกิจต่างๆ ต้องให้ความสำคัญและพิจารณาว่าจะเลือกไปในทิศทางไหนอย่างไร