สินทรัพย์รวมของเอสซีจี ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2564 มีมูลค่า 812,051 ล้านบาท โดยร้อยละ 39 เป็นสินทรัพย์ในอาเซียน
ทั้งนี้ ผลการดำเนินงานในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2564 แยกตามรายธุรกิจ ดังนี้
ธุรกิจเคมิคอลส์ ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 60,740 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 75 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากราคาขายสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 10,392 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 128 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากส่วนต่างราคาและส่วนแบ่งกำไร จากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น และเพิ่มขึ้นร้อยละ 18 จากไตรมาสก่อน จากส่วนต่างราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจเคมิคอลส์ มีรายได้จากการขาย 112,347 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 54 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากราคาสินค้าที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 19,221 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 203 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากส่วนต่างราคาสินค้าและส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมเพิ่มขึ้น
ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 46,416 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 9 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 จากไตรมาสก่อน เนื่องจากยอดการส่งออกสินค้าไปยังตลาดอาเซียนและตลาดอื่น ๆ นอกอาเซียนเพิ่มขึ้น ประกอบกับความต้องการสินค้าผลิตภัณฑ์ก่อสร้างเพิ่มขึ้นตามงานปรับปรุงและซ่อมแซมภายในประเทศที่เพิ่มขึ้น โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,468 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 27 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน เนื่องจากในไตรมาสที่ 2 ปี 2563 มีขาดทุนจากการด้อยค่าสินทรัพย์เป็นจำนวน 699 ล้านบาท ในขณะที่ลดลงร้อยละ 12 จากไตรมาสก่อน สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจซีเมนต์และผลิตภัณฑ์ก่อสร้าง มีรายได้จากการขาย 92,601 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 4 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 5,277 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
ธุรกิจแพคเกจจิ้ง ในไตรมาสที่ 2 ปี 2564 มีรายได้จากการขาย 29,895 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 38 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากความต้องการซื้อสินค้าปรับเพิ่มสูงขึ้นในหลายประเทศ ในขณะที่ภาคการส่งออกของอาเซียนปรับตัวดีขึ้นจากการฟื้นตัวของภาคการบริโภคในประเทศสหรัฐอเมริกาและยุโรป และจากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายในอย่างต่อเนื่อง และเพิ่มขึ้นร้อยละ 10 จากไตรมาสก่อน โดยมีกำไรสำหรับงวด 2,263 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน และเพิ่มขึ้นร้อยละ 6
จากไตรมาสก่อน สำหรับผลประกอบการครึ่งปีแรกของปี 2564 ธุรกิจแพคเกจจิ้ง มีรายได้จากการขาย 57,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 24 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน จากการขยายธุรกิจทั้งแบบ M&P (SOVI และ Go-Pak) และการเติบโตจากภายใน โดยมีกำไรสำหรับงวด 4,398 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากช่วงเดียวกันของปีก่อน
รุ่งโรจน์ กล่าวต่อว่า “สถานการณ์โควิด 19 ทั่วโลกมีความไม่แน่นอนสูงมาก โดยเฉพาะในภูมิภาคอาเซียนที่เผชิญกับเชื้อกลายพันธุ์เดลต้า จนทำให้มีการแพร่ระบาดเพิ่มขึ้น หลายประเทศจึงบังคับใช้มาตรการคุมเข้มอีกครั้ง เอสซีจี จึงได้ยกระดับความเข้มข้นจากมาตรการ “ไข่แดง ไข่ขาว” ที่แยกพนักงานในสายการผลิตไม่ให้สัมผัสกับกลุ่มพนักงานทั่วไป สู่การทำ “Bubble & Seal” ในโรงงานทั้งในและต่างประเทศ ด้วยการตรวจเชิงรุกอย่างสม่ำเสมอ ควบคุมพื้นที่ที่มีความเสี่ยง พร้อมจัดที่พักให้ภายในโรงงาน ควบคู่กับแนะนำให้พนักงานที่มีอาการป่วยกักตัวที่บ้านตามคำแนะนำของแพทย์ (Home Isolation) เพื่อลดการแพร่กระจายเชื้อโควิด 19 อีกทั้งได้จัดเตรียมหอผู้ป่วยเฉพาะกิจ (Hospitel) สำหรับพนักงานที่ป่วย เพื่อให้เข้าถึงการรักษาที่ปลอดภัยอย่างรวดเร็วที่สุด จึงทำให้เอสซีจีสามารถดำเนินธุรกิจได้อย่างต่อเนื่อง พร้อมทั้งยังได้ปรับแผนการดำเนินธุรกิจ ทั้งการปรับสัดส่วนการขาย กระจายสินค้าไปยังตลาดที่ได้รับผลกระทบน้อยทั้งในและต่างประเทศ และเน้นการขายผ่านช่องทางออนไลน์ อีกทั้ง ขยายธุรกิจบรรจุภัณฑ์ (Merger & Partnership - M&P) รวมถึงการสร้างความร่วมมือใช้นวัตกรรมเม็ดพลาสติกรีไซเคิลคุณภาพสูง (High Quality Post-Consumer Recycled Resin – PCR) เปลี่ยนขวดบรรจุภัณฑ์พลาสติกใช้แล้วจากครัวเรือนหมุนเวียนกลับมาผลิตเป็นขวดบรรจุภัณฑ์ใหม่ขึ้นเป็นครั้งแรกในประเทศไทย นับเป็นการเร่งธุรกิจเข้าสู่เทรนด์เศรษฐกิจหมุนเวียน (Circular Economy) ที่เติบโตสูง พร้อมรุกเข้าสู่ธุรกิจระบบอัตโนมัติ (Automation System) เพื่อนำเสนอโซลูชั่นด้านออโตเมชันแก่ลูกค้า ซึ่งจะช่วยพัฒนาขีดความสามารถและยกระดับอุตสาหกรรมไทยสู่โรงงานอัจฉริยะ (Smart Factory 4.0) จึงทำให้ผลประกอบการของเอสซีจีในไตรมาสที่ 2 และครึ่งปีแรกของปี 2564 ยังคงเติบโตได้อย่างต่อเนื่องในภาวะที่เศรษฐกิจชะลอตัว