ปัจจัยที่ส่งผลให้ธุรกิจคอมเมิร์ซของ อาร์เอส กรุ๊ป เติบโตสูงขึ้น ได้แก่
♦ ผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ที่ขายอยู่บน RS Mall อยู่ในหมวดสุขภาพและความงามเป็นหลัก ซึ่งตอบโจทย์ เมกะเทรนด์ด้าน Health, Wellness and Wellbeing ที่ลูกค้าตระหนักถึงสุขภาพและคุณภาพชีวิตที่ดี ซึ่งตรงกับแนวคิดของ RS Mall ที่ต้องการเป็นพันธมิตรด้านสุขภาพ และความเป็นอยู่ที่ดีของทุกคน(Your Wellbeing Partner)
♦ การขยายช่องทางการจำหน่ายผลิตภัณฑ์ ร่วมกับการทำโปรโมชั่นที่ตอบโจทย์ลูกค้าอย่างต่อเนื่อง เช่น “RS Mall Flash Sales” “RS Mall Flash Sunday” “RS Mall Chinese New Year 2021”
♦ จากการ Work from Home และเป็นยุค “Mobile First” ที่คนเชื่อมต่ออินเทอร์เน็ต และเข้าสื่อสังคมออนไลน์มากขึ้น การทำ Real-Time Marketing และการทำ Live Streaming ผ่านช่องทาง RS Mall Facebook จึงส่งผลให้มียอดขายเพิ่มขึ้น
♦ มุ่งเน้นการบริหารข้อมูลลูกค้าเป็นสำคัญ การใช้ Predictive Dialing System (PDS) พัฒนาระบบคอลเซ็นเตอร์ให้ทำงานเต็มประสิทธิภาพเข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่มมากขึ้น รวมทั้งมีระบบ Voice analytics ที่นำมาใช้อย่างเต็มรูปแบบในปี 2564 โดยนำข้อมูลในหลากหลายมิติและเสียงการสนทนาของลูกค้ามาประมวลผลให้สามารถนำเสนอสินค้าและบริการได้ตรงใจ และตอบโจทย์ความต้องการการใช้ผลิตภัณฑ์ของลูกค้ามากขึ้น จึงทำให้ธุรกิจคอมเมิร์ซมีฐานลูกค้าประมาณ 1.6 ล้านราย
♦ บริษัท ไลฟ์สตาร์ จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทในเครืออาร์เอส กรุ๊ป มุ่งเน้นการพัฒนาและผลิตสินค้าใหม่ๆ อาทิ ผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโพรไบโอติก ภายใต้แบรนด์ “S.O.M” และยาสมุนไพรแผนโบราณสามัญประจำบ้าน ภายใต้แบรนด์ “ทองเอก” อีกทั้งเปิดตัวผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนไดเปปไทด์ และไตรเปปไทด์ ภายใต้แบรนด์ “well u” โดยเน้นช่องทางการขายผ่าน Exclusive Distribution Network (EDN) หรือตัวแทนจำหน่ายเป็นหลัก ซึ่งเป็นครั้งแรกที่บริษัทฯ ลุยตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหารคอลลาเจนระดับพรีเมียม
♦ สินค้าภายใต้บริษัทไลฟ์สตาร์ ได้ขยายช่องทางการจัดจำหน่าย จากเดิมที่จำหน่ายผ่านช่องทางหลักของบริษัทฯเท่านั้น อาทิ RS Mall, COOLanything, ดิจิทัลทีวีช่อง 8 และ COOLFahrenheit ปัจจุบันได้ขยายไปยังพันธมิตรออนไลน์อื่นๆ และเริ่มจำหน่ายผ่านร้านค้าปลีกทั่วประเทศแล้ว
ในขณะที่รายได้จากธุรกิจมีเดีย เพลงและอื่นๆ รวมกันอยู่ที่ 332 ล้านบาท ทั้งนี้ ธุรกิจมีเดียอยู่ในช่วง Low Season และได้รับผลกระทบจากสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ทำให้ต้องงดจัดกิจกรรมและคอนเสิร์ต รวมถึงการชะลอการใช้งบโฆษณาในทุกช่องทางยกเว้นออนไลน์ ส่งผลให้ธุรกิจมีเดียมีรายได้ลดลงตามอุตสาหกรรมโดยรวม แต่ยังคงมีประสิทธิภาพในการทำกำไรได้ดี อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเพลง ยังมีรายได้เพิ่มขึ้น 10% จากไตรมาสก่อนหน้า รวม 77 ล้านบาท โดยมาจากการฟังเพลงผ่านออนไลน์ที่เพิ่มขึ้น รายได้จากการบริหารศิลปิน และลิขสิทธิ์เพลงที่เพิ่มขึ้นผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ รวมทั้งการปรับกลยุทธ์การดำเนินงานแบบ Music Marketing ทำให้การบริหารต้นทุนมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น