ปีนี้ อมาโด้ยังมีแผนจะเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ในกลุ่มเพื่อสุขภาพซึ่งเป็นผลิตภัณฑ์เสริมอาหารโปรไบโอติกเพื่อการเสริมสร้างระบบขับถ่ายที่ดียิ่งขึ้น ในชื่ออมาโด้ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ ที่มีจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรม และเป็นที่ 1 ในด้านผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกติดต่อกันถึง 23 ปี ในประเทศญี่ปุ่น
“เรามองว่าเทรนด์ในเรื่องของผลิตภัณฑ์โปรไบโอติกมาอย่างแน่นอน เพราะคนใส่ใจเรื่องของสุขภาพมากขึ้น และต้องการบาลานซ์ระบบในร่างกาย จากการทานอาหารที่ดี และการออกกำลังกาย ซึ่งโปรไบโอติกจะช่วยปรับสมดุลจุลินทรีย์ในร่างกายช่วยให้ระบบขับถ่ายดีขึ้น และเมื่อเราหลงใหลในคำว่าเป็นที่ 1 หลังจากที่เราประสบความสำเร็จกับการสร้าง Product Champion มาแล้วเราก็เชื่อว่า ด้วยจุดเด่นในเรื่องของนวัตกรรม ประสบการณ์ความเชี่ยวชาญ และราคาที่สามารถแข่งขันได้ของ ยินตัน บิฟิน่า อีเอ็กซ์ จะทำให้เราประสบความสำเร็จอีกครั้งโดยวางแผนเริ่มจำหน่ายในเดือนมีนาคมนี้ และตั้งเป้ายอดขายในปีแรกไว้ที่ 500 ล้านบาท”
ขณะที่การทำตลาดโดยภาพรวมในปีนี้ อมาโด้คาดว่าจะสามารถสร้างรายได้ที่ 3,000 ล้านบาท จะทำให้อมาโด้ขึ้นมาอยู่ในอันดับ 5 ของตลาดผลิตภัณฑ์เสริมอาหาร และจะก้าวขึ้นสู่อันดับ 1 ในอีก 3 ปีข้างหน้า พร้อมการเดินหน้าขยายธุรกิจเพื่อรองรับกับการเติบโตหลังการนำบริษัทเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ mai ที่กำหนดไว้ภายในปลายปีนี้ หรือต้นปี 2565
โดยในปี 2563 มียอดขายอยู่ที่ 2,298 ล้านบาท แบ่งเป็นรายได้ที่มาจากช่องทางขายต่างๆ คือ ตัวแทน 49% เทเลเซลส์ 29% ออนไลน์ 16.8% ร้านค้าอมาโด้ 3% โมเดิร์นเทรด 2.2% เป็นกลุ่มเป้าหมายเป็นเพศหญิง 87% เพศชาย 13% โดยกลุ่มลูกค้าหลักอยู่ในพื้นที่กรุงเทพมหานครที่มีกำลังซื้อสูงกว่า 51%
อย่างไรก็ตาม ปีนี้อมาโด้ยังมีแผนการทำเรื่อง Rebranding แบบปรับใหญ่ทั้งองค์กร ตั้งแต่แท็กไลน์ วัฒนธรรมองค์กร และคำมั่นสัญญาต่างๆ มีการปรับเปลี่ยนโลโก้โดยเพิ่มสัญลักษณ์โล่เข้าไปเพื่อสื่อถึงการป้องกันการดูแลแบบใส่ใจ จะส่งผลทำให้ Brand Character มีความเป็นรูปแบบบริษัทมากขึ้น และลดความเป็นตัวตนของ เชน ธนาให้น้อยลง
หลังการ Rebranding คุณธนาตรัยฉัตร มองว่า Brand Character ของอมาโด้จะยังคงเป็นผู้หญิง แต่เป็นผู้หญิงที่โตมากขึ้น มีบุคลิกภาพที่เต็มไปด้วยความสมาร์ท มีความมั่นใจสูงขึ้นในช่วงอายุประมาณ 35 ปี จากเดิมที่อมาโด้เคยเป็นผู้หญิงที่มีอายุประมาณ 25 ปี เข้าใจเรื่องอินเตอร์เน็ต ชอบเซลฟี่ เป็นต้น
สิ่งที่คาดหวัง ยังคงเป็นเรื่องของความน่าเชื่อถือสูงสุด โดยอมาโด้วางเป้าหมายหลังการ Rebranding คือ การขึ้นเป็นเบอร์ 1 ในกลุ่มวิตามินและเสริมอาหาร ภายใน 2 ปี ถือเป็นเรื่องที่ท้าทายมาก เพราะวันนี้ยักษ์ใหญ่กำลังโดน Disrupt จากบริษัทรุ่นใหม่อย่างอมาโด้ และหากบริษัทเหล่านั้น Disrupt กลับมาก็ถือเป็นโจทย์ที่ยากขึ้น
“ดังนั้นการจะเป็นที่ 1 ให้ได้ต่อไป เราต้องไม่ชะล่าใจ และต้องทำให้เร็วกว่าเดิมให้ได้ ต้องมีประสิทธิภาพที่มากกว่าเดิมในทุกๆ วัน ซึ่งเรายังมีโอกาสอีกเยอะมาก เพราะตอนนี้เรายังทำแบบ OEM ถ้าวันหนึ่งเราสามารถเปิดโรงงานผลิตเองได้ ณ วันนั้น เราถึงจะตอบได้ว่า เราจะสามารถเป็นที่ 1 ได้ตลอดไป”คุณธนาตรัยฉัตร กล่าว