การปรับตัวของแสนสิริในปีก่อนหลังเจอ COVID-19 ที่ทำได้ค่อนข้างดี โดยเฉพาะโปรโมชั่นแสนสิริผ่อนให้ 24 เดือน กระตุ้นการตัดสินใจซื้อและเร่งยอดการโอนอย่างเห็นได้ชัด ขนาดที่ว่าสามารถขายแบบ Sold Out ได้มากถึง 35 โครงการ มูลค่ารวมกว่า 64,600 ล้านบาท ทำให้ผลประกอบการ 2563 ปีของแสนสิริถือเป็นปีแห่งความแข็งแกร่งด้านการเงิน โดยทำยอดขายได้ตามเป้าหมาย 35,000 ล้านบาท เติมสภาพคล่องในมือกว่า 15,000 ล้านบาท ลดอัตราหนี้ และ Gearing Ratio ลดลงจาก 1.7 อยู่ที่ 1.3
แต่ก็ต้องยอมรับว่าเวลานี้ Cash is king อย่างเดียวไม่พอ เพราะในปีที่ผ่านมาความไม่แน่นอนของสถานการณ์ ทำให้แสนสิริต้องชะลอตัวเปิดตัวโครงการ และเปิดตัวโครงการใหม่ไปได้เพียง 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาทเท่านั้น ปีนี้แสนสิริจึงเปลี่ยนกลยุทธ์หันมารุกตลาดแมสในราคา 1.5-2 ล้านบาท โดยโครงการใหม่ที่จะเปิดตัวในปีนี้ 24 โครงการนั้น สัดส่วน 3 ใน 4 จะเป็นโปรดักต์ตลาดแมสทั้งหมด
เศรษฐา ทวีสิน กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) กล่าวถึงแผนการพัฒนาโครงการใหม่ในปีนี้ว่าจะมีทั้งหมด 24 โครงการ รวมมูลค่า 26,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีที่ผ่านมาซึ่งเปิดตัวโครงการใหม่ไปทั้งสิ้น 12 โครงการ มูลค่ารวม 15,000 ล้านบาท
ซึ่ง 24 โครงการใหม่นี้จะพัฒนาโดยแสนสิริทั้งหมด โดยไม่มี Joint Venture ร่วมกับพาร์ทเนอร์อย่างบีทีเอส และโตคิว คอร์ปอเรชั่น แบ่งเป็นการพัฒนาโครงการบ้านเดี่ยว 7 โครงการ มูลค่ารวม 12,300 ล้านบาท และทาวน์โฮมและมิกซ์ โปรเจ็กต์ 12 โครงการ มูลค่ารวม 9,600 ล้านบาท และคอนโดมิเนียม 5 โครงการ มูลค่ารวม 4,100 ล้านบาท
แต่อย่างที่บอกไปว่า 3 ใน 4 ของโครงการใหม่จะอยู่ในเซ็กเม้นต์ Affordable และ Medium อาทิ ‘สิริ เพลส’ - ‘อณาสิริ’ - ‘สราญสิริ’ และ ‘ บุราสิริ’ เป็นหลักเพื่อให้แสนสิริเป็นแบรนด์ที่เข้าถึงง่าย ขณะเดียวกันจะขยายฐานลูกค้าในเซ็กเม้นต์ Luxury ด้วยสินค้าใหม่ ทั้งทาวน์โฮมและบ้านเดี่ยว 3 ชั้นภายใต้แบรนด์ใหม่ “BuGaan” ระดับราคา 30 – 80 ล้านบาท
“แสนสิริจะเปิดตัวโครงการแนวราบในราคาที่จับต้องได้มากขึ้น เพิ่มโอกาสในการเข้าถึงบ้านให้กับคนรุ่นใหม่อายุ 18-30 ปีที่อยากมีบ้านเป็นหลังแรก โดยที่ผ่านมาเราซื้อที่ดินไว้แล้วรอเพียงเปิดตัวโครงการเท่านั้น และปีนี้จะได้เห็นโปรดักต์ของแสนสิริในราคาเริ่มต้นล้านเศษ ซึ่งเราไม่ได้ทำราคานี้มานานแล้ว”
สิ่งที่น่าสนใจในการรุกตลาดแมสของแสนสิริในครั้งนี้ก็คือ เน้นการเปิดตัวโครงการเล็กๆ เพื่อกระจายความเสี่ยง เพราะใช้เวลาในการพัฒนา 1-2 ปี จากเดิมโครงการขนาดใหญ่จะใช้เวลา 4-5 ปี เท่ากับเป็นการดึงกระแสเงินสดกลับมาได้เร็วขึ้น ประการต่อมา แต่ละโครงการยังกระจายทั่วกรุงเทพฯ และปริมณฑล อาทิ รัชดา, เกษตรฯ, รามคำแหง และ บางนา เพื่อดึงดีมานด์ที่ซ่อนอยู่ตามทำเลต่างๆ กลับมายังแสนสิริได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยมากขึ้น