เมื่อลูกค้ามีความเชื่อมั่น เชื่อใจในแบรนด์ ผลที่ตามมา คือ Loyalty จากลูกค้า สอดคล้องกับทฤษฎี 80 : 20 ที่ลูกค้ากลุ่ม 20% จะเป็นกลุ่ม Loyalty Segmentation หรือที่หลายคนเรียกฐานลูกค้ากลุ่มนี้ว่า “แฟนคลับ” หรือ “แฟนพันธุ์แท้” หรือ “สาวก” นำมาสู่การใช้สินค้าหรือบริการต่อๆ ไปในครั้งหน้า
ที่สำคัญ Customer Loyalty จะเป็นผู้ทำให้สินค้าหรือบริการนั้นๆ ได้ฐานลูกค้ามากขึ้น ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง เพราะ Customer Loyalty เปรียบเสมือน Brand Ambassador ให้กับสินค้าหรือบริการ โดยเป็นผู้บอกต่อ หรือเป็นกระบอกเสียงให้กับแบรนด์ ซึ่งปัจจุบันการสร้าง Word of Mouth ในกลุ่มลูกค้ากันเอง กำลังเป็นวิธีการทำตลาดที่มาแรง
นี่คือ Power ของ Word of Mouth, Power ของ Social Network ซึ่ง CEM ทำให้ลูกค้าบอกต่อ และวันนี้ Word of Mouth เป็นส่วนหนึ่งของประสบการณ์ เป็นส่วนหนึ่งของ Media ที่กลับมาทรงอิทธิพลมากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าเป็น Word of Mouth จากลูกค้าที่มา Share ประสบการณ์ร่วมกัน เราเชื่อลูกค้า เราเชื่อเพื่อน เราเชื่อคนแปลกหน้า มากกว่าเชื่อ Advertiser ดังนั้น แบรนด์ต้อง Treat ลูกค้าเหมือนเพื่อน ต้องมองลูกค้าเป็น Individual อย่ามองลูกค้าเป็นกลุ่มเป็นก้อน
การสร้าง Experience ยิ่งถ้าคุณสามารถลงไปถึงระดับ One to One ได้มากขึ้นเท่าไร โอกาสชนะใจลูกค้ามีมากขึ้นเท่านั้น ยิ่งลูกค้ารู้สึกว่า Personalize มากขึ้นเท่าไร จะทำให้ลูกค้ามีความรู้สึกว่าพิเศษสำหรับเขา เพราะลูกค้าสมัยนี้ ไม่มีใครจ่ายเงินซื้อสินค้า ทุกคนจ่ายเงินซื้อประสบการณ์ ดังนั้นการสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจสำคัญกับทุกธุรกิจ โดยเฉพาะสินค้าที่เป็น Service พิเศษ เช่น โรงแรม โรงพยายาล ร้านอาหาร สปา การสร้างประสบการณ์ที่น่าประทับใจเป็นสิ่งสำคัญมาก
สตาร์บัคส์ เป็น Role Model ของการทำ CEM ระดับโลก ถ้าดู Best Practice ของแบรนด์ในเมืองไทยที่ทำ CEM ได้สำเร็จและต่อเนื่อง โดยทำผ่าน 5 Senses หรือภาษาการตลาดเรียกว่า Sensory Marketing ประกอบด้วย รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส เป็นกุญแจสำคัญของการสร้างประสบการณ์ให้กับลูกค้า โดยเฉพาะในธุรกิจร้านกาแฟ และร้านอาหาร
“สตาร์บัคส์” นำ 5 Senses บวกกับการให้บริการจากบาริสต้า มาสร้าง “ประสบการณ์สตาร์บัคส์” จนประสบความสำเร็จ และกลายเป็นต้นแบบของการบริหารจัดการ Total Customer Experience