ภาคิน กล่าวว่า “การทำงานของผม ไม่เคยนั่งอยู่บนหอคอยงาช้าง แล้วประเมินภาพ สั่งการ หรือวาดความเป็นไปได้ในอากาศ แต่การเข้าไปพูดคุยกับทีมงานหลังบ้านด้วยตัวเองถึงความเป็นไป สถานการณ์จริงที่ต้องเผชิญต่างหาก ที่ทำให้เรากลับมาวางหมากเส้นทางการการตลาดต่อไปได้ รวมถึงการเข้าใจความต้องการของ stakeholder ในทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง ส่งผลให้เมื่อเกิดภาวะวิกฤตขึ้น เราสามารถเข้าเจรจากันโดยตรง เพื่อให้ทุกฝ่ายได้ผลประโยชน์สูงสุดร่วมกัน เพราะสุดท้ายการสร้างความสัมพันธ์ที่ดี ไม่ใช่แค่กับลูกค้านอกบ้าน แต่ลูกค้าในบ้านเองก็สำคัญไม่แพ้กัน ถ้าเรานั่งในใจลูกค้าในบ้านได้ ผนึกกำลังกัน ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายนอกบ้านก็ไม่เกินมือ”
แก่นที่ 2 คือ Overview: Flexibility is the key เข้าใจการบริหารงานอย่างตรงจุดแล้ว อีกสิ่งที่ทำให้ก้มหน้าก้มตาไม่หันมองมาไม่ได้ก็คือ เทรนด์ หรือกระแสของตลาดที่มีขึ้น-ลง, เข้า-ออก อยู่ตลอดเวลา ทำให้คำตอบของแก่นสุดท้ายเป็นการมองภาพกว้างให้ออกและพร้อมจะปรับเปลี่ยน “ให้ทัน” ตามสถานการณ์ตรงหน้า เพราะบางครั้งการเต็มใจปรับเปลี่ยนรูปแบบทางการตลาดอาจไม่ทันต่อการหมุนผ่านของกระแสอันเกรี้ยวกราดในยุคนี้ เห็นได้จากสถานการณ์โควิด-19 ผ่านไป บริษัทได้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง และในการขยายสาขาในปีนี้ได้เปิดสาขาใหม่เพิ่มขึ้นกว่า 20 สาขา และมียอดขายด้าน Delivery เติบโตเพิ่มขึ้นกว่า 3,000 %
“หู ตาต้องไว อะไรที่ไม่เข้าใจ ต้องเปิดใจรับฟังให้ทันการณ์” อีก Key ที่ ภาคิน เพ็ญภาคกุล ได้ฝากไว้
แก่นสุดท้ายคือ Power Question: What's next ด้วยเชื่อว่าความคำถามที่ดี จะส่งผลต่อการไปต่อที่โตกระโดด เมื่อกำลังจะหมดปี 2020 ที่ผันผวนหนัก ปีหน้าจะใช้ไม้ไหนเข้าโต้คลื่น ซึ่งจากการลงพื้นที่ สำรวจตลาดด้วยตัวเอง ทำให้เห็นช่วงว่างของตลาดใหม่ๆ และจากกลยุทธ์การบริหารภาพรวม ทำให้ตัดสินใจขยายสาขาสวนกระแสแบรนด์อื่นๆ ถือเป็นการตัดสินใจที่สร้างความแปลกใจให้ตลาดไม่น้อย สำหรับในสภาวะที่ไม่เอาแน่เอานอนไม่ได้ในภาพใหญ่นี้