1. ลงทุนด้านออนไลน์และพัฒนาฐานข้อมูล: อย่าตระหนกหากพบว่า ลูกค้ามาดูรถน้อย เพราะวิกฤตนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า โอกาสในการสร้างการรับรู้และตัวตนของธุรกิจสามารถทำได้จากหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโตโดดเด่น เห็นได้จากมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยในปีนี้ที่คาดว่าอาจสูงขึ้นถึง 35% จากปีก่อนหน้า ‘จุดใดที่ลูกค้าจะติดต่อกับธุรกิจเราได้’ ต่างหาก คือสิ่งที่เจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ เช่น การเร่งสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจบนโลกออนไลน์ และการผลักดันให้เว็บไซต์อยู่หน้าแรกของการค้นหา สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ขณะที่การวางแผนเก็บข้อมูลลูกค้าเชิงลึกอย่างเป็นระบบไปพร้อมๆ กัน เช่น พฤติกรรมการใช้รถ งบประมาณ สิ่งที่ต้องการหรือเป็นกังวล จะช่วยให้การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในอนาคตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. เน้นสื่อสารที่ประโยชน์ใช้สอย: เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ ‘ความจำเป็น’ มากกว่าการตามหา #ของมันต้องมี เจ้าของธุรกิจจึงควรใช้โอกาสนี้ในการปรับกลยุทธ์การสื่อสาร เน้นการตลาดแบบอิงเหตุผล ประโยชน์ใช้สอย หรือความคงทน เพื่อสร้างคุณค่า (Value) ให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘ทำไมรถมือสองคันนี้ถึงมีความจำเป็นต่อชีวิตและจิตใจของพวกเขา’ โดยอาจจะจูงใจด้วยเหตุผลด้านความสะดวกและสุขภาพอนามัย เช่น การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจะช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค ความคุ้มค่าเรื่องราคา และโอกาสในการนำรถยนต์มาประกอบอาชีพหรือสร้างรายได้เสริมในอนาคต เป็นต้น
3. ใช้ภาพถ่ายกระตุ้นยอดขาย เนื้อหาไม่ยัดเยียดขายของ: คนไทยเกินครึ่งมีพฤติกรรมใช้รูปภาพในการค้นหาข้อมูล (Image Recognition) ติดอันดับ 5 ของโลก ดังนั้น การใช้รูปภาพที่มีรายละเอียดและความคมชัดสูง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหารุ่นรถเจอได้โดยง่าย และสามารถซูมภาพเพื่อดูรายละเอียดของรถได้ นอกจากนี้ การนำเสนอเนื้อหาควรมีหลากหลายรูปแบบและไม่ควรขายตรงจนเกินไป อาจเน้นการสร้างบรรยากาศให้คนดูรู้สึกอยากเป็นเจ้าของรถมากขึ้น หรือนำเสนอข้อมูลที่จะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า เช่น วิธีการดูรถยนต์มือสองอย่างมืออาชีพ เพื่อแสดงถึงความจริงใจและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในยุคที่มองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก
4. รักษาฐานลูกค้า เชื่อมต่อทุกช่องทางบริการ: การตลาดในยุคที่ลูกค้ามาไวไปไว การพัฒนางานขายและการบริการลูกค้าสัมพันธ์จำเป็นต้องทำอย่างบูรณาการในทุกช่องทาง นอกจากนี้ ยังต้องเร่งพัฒนาไหวพริบและความสามารถของคนในองค์กร เพื่อให้สามารถปรับตัวอย่างเท่าทันและไม่พลาดโอกาสในการปิดการขายในเวลาที่ใช่และเหมาะสม เช่น พนักงานขายผ่านโทรศัพท์ต้องสามารถบอกข้อมูลที่พูดคุยกับลูกค้าครั้งล่าสุด หรือสามารถประสานงานให้ผู้ที่รับเรื่องคนเดียวกันตอบข้อซักถามและติดต่อเพื่อแนะนำรุ่นรถได้อย่างทันท่วงที บริการที่ไร้รอยต่อเช่นนี้จะช่วยสร้างความประทับใจ ทำให้ลูกค้าสบายใจที่จะสอบถามมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงที่จะตัดสินใจซื้อในที่สุด
5. ไม่ติดกรอบ ทดลองเครื่องมือใหม่ๆ: ผู้บริโภคเริ่มเปิดรับสื่อหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เจ้าของกิจการควรศึกษาและติดตามเทรนด์การสื่อสารและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่าง TikTok for Business อีกแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยคลิปวิดีโอสั้นๆ สนุกสนาน และแชร์ต่อได้ง่าย ซึ่งในขณะนี้ยังมีผู้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับรถมือสองไม่มากนัก จึงนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการทำการตลาดที่น่าสนใจในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ และสร้างเอกลักษณ์ให้กับธุรกิจได้
1. ลงทุนด้านออนไลน์และพัฒนาฐานข้อมูล: อย่าตระหนกหากพบว่า ลูกค้ามาดูรถน้อย เพราะวิกฤตนี้ชี้ให้เห็นแล้วว่า โอกาสในการสร้างการรับรู้และตัวตนของธุรกิจสามารถทำได้จากหลากหลายช่องทาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งตลาดออนไลน์ที่กำลังเติบโตโดดเด่น เห็นได้จากมูลค่าตลาดอีคอมเมิร์ซของไทยในปีนี้ที่คาดว่าอาจสูงขึ้นถึง 35% จากปีก่อนหน้า ‘จุดใดที่ลูกค้าจะติดต่อกับธุรกิจเราได้’ ต่างหาก คือสิ่งที่เจ้าของกิจการควรให้ความสำคัญ เช่น การเร่งสร้างความแข็งแกร่งของธุรกิจบนโลกออนไลน์ และการผลักดันให้เว็บไซต์อยู่หน้าแรกของการค้นหา สิ่งเหล่านี้จะช่วยเพิ่มโอกาสให้ธุรกิจเป็นที่รู้จักในวงกว้าง ขณะที่การวางแผนเก็บข้อมูลลูกค้าเชิงลึกอย่างเป็นระบบไปพร้อมๆ กัน เช่น พฤติกรรมการใช้รถ งบประมาณ สิ่งที่ต้องการหรือเป็นกังวล จะช่วยให้การเข้าถึงกลุ่มลูกค้าในอนาคตมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น
2. เน้นสื่อสารที่ประโยชน์ใช้สอย: เมื่อผู้บริโภคให้ความสำคัญกับ ‘ความจำเป็น’ มากกว่าการตามหา #ของมันต้องมี เจ้าของธุรกิจจึงควรใช้โอกาสนี้ในการปรับกลยุทธ์การสื่อสาร เน้นการตลาดแบบอิงเหตุผล ประโยชน์ใช้สอย หรือความคงทน เพื่อสร้างคุณค่า (Value) ให้ลูกค้ารู้สึกว่า ‘ทำไมรถมือสองคันนี้ถึงมีความจำเป็นต่อชีวิตและจิตใจของพวกเขา’ โดยอาจจะจูงใจด้วยเหตุผลด้านความสะดวกและสุขภาพอนามัย เช่น การเดินทางด้วยรถยนต์ส่วนตัวจะช่วยลดความเสี่ยงในการสัมผัสเชื้อโรค ความคุ้มค่าเรื่องราคา และโอกาสในการนำรถยนต์มาประกอบอาชีพหรือสร้างรายได้เสริมในอนาคต เป็นต้น
3. ใช้ภาพถ่ายกระตุ้นยอดขาย เนื้อหาไม่ยัดเยียดขายของ: คนไทยเกินครึ่งมีพฤติกรรมใช้รูปภาพในการค้นหาข้อมูล (Image Recognition) ติดอันดับ 5 ของโลก ดังนั้น การใช้รูปภาพที่มีรายละเอียดและความคมชัดสูง จะช่วยให้ลูกค้าสามารถค้นหารุ่นรถเจอได้โดยง่าย และสามารถซูมภาพเพื่อดูรายละเอียดของรถได้ นอกจากนี้ การนำเสนอเนื้อหาควรมีหลากหลายรูปแบบและไม่ควรขายตรงจนเกินไป อาจเน้นการสร้างบรรยากาศให้คนดูรู้สึกอยากเป็นเจ้าของรถมากขึ้น หรือนำเสนอข้อมูลที่จะช่วยแก้ปัญหาของลูกค้า เช่น วิธีการดูรถยนต์มือสองอย่างมืออาชีพ เพื่อแสดงถึงความจริงใจและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าในยุคที่มองหาความคุ้มค่าเป็นหลัก
4. รักษาฐานลูกค้า เชื่อมต่อทุกช่องทางบริการ: การตลาดในยุคที่ลูกค้ามาไวไปไว การพัฒนางานขายและการบริการลูกค้าสัมพันธ์จำเป็นต้องทำอย่างบูรณาการในทุกช่องทาง นอกจากนี้ ยังต้องเร่งพัฒนาไหวพริบและความสามารถของคนในองค์กร เพื่อให้สามารถปรับตัวอย่างเท่าทันและไม่พลาดโอกาสในการปิดการขายในเวลาที่ใช่และเหมาะสม เช่น พนักงานขายผ่านโทรศัพท์ต้องสามารถบอกข้อมูลที่พูดคุยกับลูกค้าครั้งล่าสุด หรือสามารถประสานงานให้ผู้ที่รับเรื่องคนเดียวกันตอบข้อซักถามและติดต่อเพื่อแนะนำรุ่นรถได้อย่างทันท่วงที บริการที่ไร้รอยต่อเช่นนี้จะช่วยสร้างความประทับใจ ทำให้ลูกค้าสบายใจที่จะสอบถามมากขึ้น และมีแนวโน้มสูงที่จะตัดสินใจซื้อในที่สุด
5. ไม่ติดกรอบ ทดลองเครื่องมือใหม่ๆ: ผู้บริโภคเริ่มเปิดรับสื่อหลากหลายรูปแบบมากขึ้น เจ้าของกิจการควรศึกษาและติดตามเทรนด์การสื่อสารและเทคโนโลยีใหม่ๆ อยู่เสมอ อย่าง TikTok for Business อีกแพลตฟอร์มที่ออกแบบมาเพื่อการสร้างสรรค์คอนเทนต์ด้วยคลิปวิดีโอสั้นๆ สนุกสนาน และแชร์ต่อได้ง่าย ซึ่งในขณะนี้ยังมีผู้ทำคอนเทนต์เกี่ยวกับรถมือสองไม่มากนัก จึงนับเป็นอีกช่องทางหนึ่งในการทำการตลาดที่น่าสนใจในการเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ และสร้างเอกลักษณ์ให้กับธุรกิจได้