กลุ่มเซ็นทรัลเน้นเรื่องของ Synergy อยู่แล้ว เพราะเป็นกลุ่มค้าปลีกที่มีทุก BU อยู่ในมือค่อนข้างหลากหลาย หากสามารถ Synergy Offer ได้ จะทำให้เกิด Benefit อย่างมหาศาล โดยเฉพาะการทำ Tailor-made Synergy เพราะว่าการที่มี BU จำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องต่างคนต่างทำ แต่ควรที่จะนำข้อมูลต่างๆ มารวมกัน เพื่อที่จะ Synergy Offer เพื่อให้โฟกัสไปที่ลูกค้ารายเดียวได้เลย เช่น ลูกค้าที่ซื้อแต่ในศูนย์การค้าไม่เคยซื้อในห้าง ก็สามารถดึงให้มาซื้อในห้างได้ หรือคนที่ซื้อแต่ในห้าง ก็ดึงให้ออกมาซื้ออย่างอื่นบ้าง
เรื่องของ Big Data ถือเป็น Technology Enhancement ในส่วนของ Unique Experience เป็นการพัฒนาดิจิทัลเพื่อให้ตอบโจทย์ Unique Experience ที่คนสามารถรู้สึกได้ ทั้งในเรื่องของเมอร์เชนไดซิ่ง การเดคคอเรท หรือกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งต้องแยกตามทาร์เก็ตด้วย เพราะค้าปลีกแต่ละรายต้องพยายามสู้ในเรื่องเหล่านี้เพื่อดึงให้คนเข้ามา เนื่องจากเรื่องของการช้อปออนไลน์ที่มีมากขึ้น ดังนั้น ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองให้มาเป็น Entertainment Center หรือเป็น Museum Center บ้าง ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งเรื่องของรูปแบบหรือฟังก์ชั่น ไม่ใช่แค่การมาช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียว ต้องมีหลากหลายมิติในการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือการเตรียมพร้อมในการ Delivered Value เพราะอย่างน้อยออนไลน์ก็ไม่สามารถสร้าง Surprising แต่ รีเทลสามารถทำได้ เวลาที่เดินเข้ามาสามารถได้เบเนฟิตบางอย่างมากกว่า เกิดเป็น Surprising ได้ ทำให้คนมีความสนุกมากกว่า ดังนั้น ในอนาคตโจทย์ของรีเทลคือ ต้องทำให้คนมีความรู้สึกแฮปปี้ และมีความสนุกสนาน ไม่ได้เน้นแค่การขายของ
“งานมาร์เก็ตติ้งในปัจจุบัน คืองานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูล มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ Plan Feel และ Do คนที่คิด คนที่เป็นเจ้าพ่อแห่งการวางแผน เป็นการคิดแบบข้อมูลจากบิ๊กดาต้า คนที่ทำเรื่องของฟีล ก็จะเป็นเจ้าพ่อในการทำ Emotional Connection หรือในเรื่องของการทำ Engagement และในเรื่องของ Do ก็จะเป็นคน Execution โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ เราจะเน้นในเรื่องของความเป็น Specialist จากทั้ง 3 กลุ่มนี้ ทั้งเรื่องของ Systematic Planning แพลนนิ่งจากข้อมูลที่มี นำมาสู่การ Feel และ Do ในท้ายที่สุด”