สิ่งที่น่าสนใจก็คือ การรีโนเวทในครั้งนี้ ยังมีการเทรดอัพกลุ่มเป้าหมาย จากภาพที่เคยเป็นห้างระดับแมสไปสู่กลุ่มเป้า หมายที่ครอบคลุมถึงระดับบน โดยมีการเติมเต็มแบรนด์ระดับลักชัวรี่ และพรีเมียมเข้าไป อาทิ ในกลุ่มเครื่องสำอางที่มีแบรนด์หลากหลายอย่าง CHANEL, DIOR, BURBERRY BEAUTY, ESTEE LAUDER, FRESH, LANCOME, KIEHL'S, M.A.C, SHISEIDO, SKII, SULWHASOO, THE HISTORY OF WHOO, YSL, 3CE เป็นต้น
ทำไม เดอะมอลล์ จึงต้องมีการปรับตัวขนานใหญ่ 5 เหตุผลต่อจากนี้ น่าจะเป็นคำตอบที่เฉลยเรื่องราวทั้งหมดได้เป็นอย่างดี
1.แรงกดดันจากอีคอมเมิร์ซ ที่แม้เดอะมอลล์จะมีการทำในเรื่องของ O2O หรือออมนิแชนแนล แต่อย่าลืมว่า เดอะมอลล์สวมหมวก 2 ใบ คือเป็นทั้งผู้ค้า และผู้พัฒนาที่ดินเพื่อการค้าปลีก ทำให้หัวใจสำคัญยังคงอยู่ที่จะทำอย่างไรให้คนออกจากโลกของออนไลน์มาใช้ชีวิตใน Physical Store อย่างต่อเนื่อง การรีโนเวทครั้งใหญ่เพื่อให้ตอบโจทย์ในเรื่องดังกล่าว จึงกลายเป็นแนวทางที่ต้องเร่งทำ
2.ค้าปลีกของบ้านเราก้าวข้ามจากเรื่องของ Space Management ที่มองการรีเทิร์นกลับมาเป็นยอดขายโดยวัดจากพื้นที่ขายว่าพื้นที่กี่ตารางเมตร จะให้ผลตอบแทนกลับมาเป็นรายได้เท่าไร มาสู่การมองเรื่องของ Experience Management หรือการบริหารประสบการณ์ลูกค้า ยิ่งลูกค้ามีประสบการณ์ที่ดีมากเท่าไร การใช้บริการอย่างต่อเนื่องก็มีมากขึ้นเท่านั้น และสิ่งที่จะตามมาก็คือรายได้จากยอดขายที่จะเพิ่มขึ้นเองตามอัตโนมัติ
เรื่องดังกล่าวนี้ เดอะมอลล์ใช้เครื่องมือมากมาย โดยเฉพาะบิ๊กดาต้าที่เข้ามาช่วยวิเคราะห์ และวางแผนในการตอบโจทย์ลูกค้าได้อย่างลงลึกแบบ Personalized