ปัจจุบันเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนช่วยให้การใช้ชีวิตของผู้คนง่ายยิ่งขึ้น แต่ในช่วงวิกฤตโควิด-19 นอกจากเรื่องของความสะดวกสบายแล้ว ความปลอดภัยเป็นอีกเรื่องที่ผู้คนให้ความใส่ใจ ซึ่งวันนี้สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA จะมาแนะนำ 4 สตาร์ทอัพไทยที่จะเข้ามาช่วยแก้โจทย์การใช้ชีวิตประจำวันที่ต้องเจอให้หมดไป เพื่อให้ทุกคนสามารถใช้ชีวิตได้ง่าย สะดวกสบายและปลอดภัย

Jordsabuy

ปัญหาที่จอดรถเป็นปัญหาที่อยู่กับคนไทยมาเป็นระยะเวลานาน ยิ่งปริมาณการใช้งานรถยนต์มากขึ้น ที่จอดรถก็ยิ่งหายากขึ้น Jordsabuy จึงเข้ามาจัดการปัญหาดังกล่าวเพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของคนเมืองให้ดียิ่งขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการหาที่จอดรถในบริเวณที่มีการจราจรหนาแน่น การใช้บริการที่จอดรถเพื่อเป็น Transportation Hub ไปสู่การใช้งาน การเดินทางสาธารณะ

“เราเป็นธุรกิจ Startup ที่เข้ามาแก้ปัญหาให้แก่คนเมืองในการค้นหาที่จอดรถ สร้างมูลค่าเพิ่มสำหรับพื้นที่ซึ่งสามารถให้บริการที่จอดรถได้ด้วยคอนเซ็ปต์ เปลี่ยนที่ว่าง สร้างรายได้ นอกจากนี้เรายังสร้างสรรค์นวัตกรรม Smart Parking เพื่อช่วยเหลือและแก้ปัญหาให้แก่ผู้ประกอบการ เพื่อการบริหารจัดการลานจอดอย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยเทคโนโลยีที่ทันสมัย และราคาที่เข้าถึงได้” ธนภูมิ สุกัญจนศิริ ผู้ก่อตั้ง บริษัท อินฟิไลท์ จำกัด เล่าถึงไอเดียเริ่มต้นของ Jordsabuy

ปัจจุบัน  Jordsabuy ให้บริการในรูปแบบเว็บไซต์ และโมบายแอพพลิเคชั่น ในการเชื่อมโยงผู้กำลังค้นหาที่จอด สู่ลานจอดรถ ด้วยคอนเซ็ปต์ Plan Pay Park และระบบบริหารจัดการลานจอดรถ Cloud Parking Management ที่เข้ามาช่วยให้การบริหารจัดการลานจอดรถง่ายขึ้น พร้อมระบบวิเคราะห์รายได้และรายงานเพื่อเพิ่มศักยภาพในการเพิ่มผลกำไรให้แก่ผู้ประกอบการ

ลูกค้าของ Jordsabuy แบ่งออกเป็น 2 ส่วน User ผู้ใช้งานที่ประสบปัญหาจะสามารถค้นหาที่จอดรถตามพื้นที่แบบ Realtime ตรวจสอบสถานะ และนำทางทางสู่ลานจอด เข้าถึงการให้บริการผ่านช่องทางออนไลน์ เจ้าของพื้นที่ สามารถสร้างรายได้เพิ่มจากการให้บริการลานจอด อีกทั้งระบบบริหารจัดการลานจอดอย่างมีประสิทธิภาพ แก้ปัญหาการตรวจสอบรายได้ภายใต้ Budget

MuayThaiOK

มวยไทยเป็นกีฬาที่ได้รับความนิยมจากทั้งชาวไทยและชาวต่างชาติอย่างแพร่หลาย แต่ในอดีตชาวต่างชาติที่ต้องการเรียนมวยไทยต้องเดินทางไปที่หน้าค่ายโดยไม่สามารถค้นหาข้อมูลหรือข่าวสารของแต่ละค่ายได้เองล่วงหน้า ทำให้บางครั้งความต้องการของลูกค้าและบริการของทางค่ายไม่ตรงกัน อีกทั้งยังประสบปัญหาด้านภาษาในการสื่อสารซึ่งทางค่ายมวยหรือครูมวยที่ไม่สามารถใช้ภาษาอังกฤษได้มากนัก จึงทำให้ลูกค้าล้มเลิกความตั้งใจในการการเรียนมวยไทยไป ประเทศไทยจึงเสียโอกาสในการเผยแพร่วัฒนธรรมไทย รวมถึงค่ายมวยเองก็สูญเสียรายได้ไปโดยไม่จำเป็น นอกจากนี้ยังมีปัญหาเรื่องของการขายตั๋วเกินราคาหรือมีการบังคับซื้อพร้อมสินค้าอื่นๆ ทำให้ชาวต่างชาติไม่อยากเข้าชมมวย และศูนย์เสียโอกาสและรายได้ไปเป็นจำนวนมาก

MuayThaiOK จึงเข้ามาตอบโจทย์ด้วยการสร้าง Platform สำหรับขายคอร์สเรียนมวยไทย Online และตั๋วเข้าชมมวย เพื่ออำนวยความสะดวกให้กับนักท่องเที่ยวที่ให้ความสนใจในการเรียนมวยไทยและเข้าถึงข้อมูลของค่ายมวยได้ง่ายมากยิ่งขึ้น โดยปรับเปลี่ยนรูปแบบจากเดิมที่ต้องซื้อแบบ Offline มาเป็นการซื้อคลาสเรียนมวยไทย และการแข่งขันการชกมวยไทยแบบ Online ทำให้ผู้ที่สนใจมวยไทยเข้าถึงแหล่งข้อมูลได้โดยตรง

“จุดเด่นของเรา คือ เราเป็นศูนย์รวมข้อมูลค่ายมวยไทยและสนามมวยทั่วประเทศ  ช่วยอำนวยความสะดวกในด้านการค้นหาสถานที่ ไม่ว่าจะเป็นค่ายมวยหรือสนามมวยในกรุงเทพฯ หรือต่างจังหวัด ข้อมูลของแต่ละสถานที่ว่ามีคอร์ส เรียนอะไรบ้าง คู่ชกใครกับใครบ้าง ที่เหมาะสมกับความต้องการของลูกค้า แนะนำให้ซื้อคอร์สเรียนมวยไทยที่เหมาะสมกับ Budget ที่ตั้งไว้ในแต่ละราย สามารถเลือกค่ายมวยที่มีคอร์สเรียนเฉพาะเจาะจง เช่น การเรียนแบบมวยโบราณ และ เทคนิคมวยขั้นสูง รวมถึง Facility ต่างๆ ที่ค่ายมวยมี รวมทั้งแนะนำวิธีการเดินทางไปยังค่ายมวยได้แม่นยำขึ้น ในด้านสนามมวยเราก็มีข้อมูลข่าวสารการแข่งขันในแต่ละวัน เพื่อให้ผู้ที่ต้องการเข้าชมการแข่งขันทราบล่วงหน้าและเลือกเข้าชมได้ดียิ่งขึ้น” ธนนต์ มโนรถกุล กรรมการผู้จัดการ บริษัท มวยไทยโอเค จำกัด อธิบายถึงแนวคิดของ MuayThaiOK

ปัจจุบันทาง MuayThaiOK ถือเป็นเจ้าแรกและเจ้าเดียวในโลกที่ให้ข้อมูลทั้งหมดเกี่ยวกับมวยไทยให้ผู้ที่สนใจได้เข้ามาเลือกได้ตามความสนใจของแต่ละคน

Raise Genius School

Raise Genius School คือสถาบันสอนเสริมทักษะด้วยเทคโนโลยีหุ่นยนต์ ไม่ว่าจะเป็นการออกแบบ ประดิษฐ์ โค้ดดิ้ง ซึ่งเป็นการเรียนแบบ Project Based Learning โดยใช้นวัตกรรม 3D e-Learning on Cloud จนกระทั่งเทคโนโลยี AR และ VR เพื่อเสริมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนเกิดจินตนาการและความคิดสร้างสรรค์ ทำให้ผู้เรียนมีทักษะรอบด้าน ทั้ง Soft Skill และ Hard Skills จนกระทั่งมีบุคลิกของนักประดิษฐ์ หรือว่า Maker นั่นเอง

ด้วยประสบการณ์การดำเนินการมาตั้งแต่ปี 2012 ทำให้ LINE Extension ของ Raise Genius School ขยายออกเป็นการสอนเสริมในช่วงวันเสาร์-อาทิตย์และปิดเทอม ตามสาขาต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นที่ ประชาอุทิศ เพชรเกษม สาทร และสามัคคี มีการกระจายบทเรียน 3D e-Learning สู่โรงเรียนต่างๆ ตั้งแต่ระดับประถมจนกระทั่งถึงมัธยม ไปสู่ทั่วประเทศ ปัจจุบันดำเนินการมาแล้ว 10 จังหวัด นอกจากนี้ยังมีการอบรมเยาวชนและผู้ที่ต้องการอัพสกิลด้านเทคโนโลยีหุ่นยนต์ เพื่อให้เข้าสู่ยุค Industrial 4.0 หรือ Digital Age ด้วย

ลูกค้าของ Raise Genius School จะแบ่งออกเป็น 2 กลุ่ม คือ B2C ผู้ปกครองของเด็กประถมและมัธยม ที่มีความสนใจส่งเสริมทักษะรอบด้านให้บุตรหลานของตน กลุ่ม B2B อาทิ โรงเรียนประถมและมัธยมทั่วประเทศที่มีความสนใจเปิดสอนวิชาหุ่นยนต์ หรือมีชุมนุมหุ่นยนต์ในโรงเรียนเนื่องจากเป็นการบูรณาการแนวเรียนใหม่ไม่ว่าจะเป็นวิชาSTEM วิทยาการคำนวณ และ Coding

อิษฏา เหล่าสุนทรากุล Co - Founder & Education Director บริษัท Raise Innovation Co., Ltd. กล่าวว่า

 “เรามองเห็นว่าปัญหาเดิมเรื่องการเรียนรู้ของเด็กประถมและมัธยมที่เรียนในระบบ เด็กจะขาดการพัฒนาทักษะด้าน Soft Skill อย่างมาก เช่น ขาดการฝึกคิดเป็นระบบ การดึงจินตนาการ ฝึกแก้ปัญหา ฝึกการนำเสนอ ทางด้าน Hard Skill เด็กจะขาดการเรียนรู้ด้านการประดิษฐ์ และการเขียนโปรแกรม ในขณะเดียวกันฝั่งโรงเรียนทั่วไปจะมีรายวิชาการสอนตามแนวของกระทรวงศึกษาธิการ แต่เมื่อเทคโนโลยีด้านหุ่นยนต์เริ่มเข้ามามากขึ้น ทางโรงเรียนจึงอยากจะสนับสนุนและส่งเสริมเด็กนักเรียนให้มีความรู้ ความเข้าใจ และทักษะในการสร้างการเขียนโปรแกรมควบคุมหุ่นยนต์มากยิ่งขึ้น

ในตลาดจัดตั้งห้องเรียนหุ่นยนต์ เรามีความแตกต่างอย่างมากเมื่อเทียบกับคู่แข่ง กล่าวคือ เราเป็น Total Service สำหรับโรงเรียนอย่างแท้จริง เรามีบริการตั้งแต่ให้คำปรึกษา และมี Service/Product Line ที่ครอบคลุม ตั้งแต่ต้นจนถึงขั้นต่อยอด เช่น ออกค่ายหุ่นยนต์ อบรมครูหุ่นยนต์ Workshop หุ่นยนต์ จำหน่ายชุดหุ่นยนต์เพื่อการศึกษา ติดตั้งห้องเรียนหุ่นยนต์ ด้วยนวัตกรรม 3D-eLearning on Cloud (NIA) จัดกิจกรรมออกบูธงานวิชาการ เป็นโค้ชฝึกนักเรียนเพื่อเข้าร่วมแข่งขันหุ่นยนต์ ฯลฯ ในขณะที่คู่แข่งจะมีบริการแค่บางส่วน และไม่มีนวัตกรรมในสื่อการสอน”

TAPTAP EVERYDAY

ยุค New Normal ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงวิถีการใช้ชีวิตของเราทุกคน เช่น เรื่อง Social Distancing, การใส่หน้า กาก, ล้างมือบ่อยๆ รวมไปถึงการลดการสัมผัสสิ่งของสาธารณะต่างๆ TAPTAP EVERYDAY เป็นแบรนด์ที่ตั้งใจทำไอเทมที่จะเข้ามาช่วยซัพพอร์ตการใช้ชีวิตของทุกคนในยุค New Normal

“ไอเดียของ TAPTAP EVERYDAY ความตั้งใจ คือเราคิดไอเทมที่เกี่ยวกับการลดการสัมผัสสิ่งของที่เราไม่มั่นใจในความสะอาดนั้นโดยตรงและสามารถใช้ได้ในทุกๆ วัน TAPTAP จึงออกแบบผลิตภัณฑ์ ACCESSORY แนวใหม่เพื่อมาซัพพอร์ตชีวิตยุค New Normal โดยผสมผสานเรื่องของ FUNCTION และ FASHION เอาไว้ด้วยกัน” ปุณณพัฒน์ หิรัญเชาวิวัฒน์ Asst. MD / MD  บริษัท PLATINUM PRO PLASTIC CO., LTD. / SHOP DOT PPP CO., LTD.เล่าถึงคอนเซ็ปต์ของ TAPTAP EVERYDAY

สินค้าของ TAPTAP EVERYDAY คือ TAPTAP HYGIENE STICK  ที่ช่วยลดการสัมผัสสิ่งของที่ผู้ใช้ไม่มั่นใจในความสะอาด สามารถใช้ได้ทั้งการกด เช่น กดปุ่มลิฟต์ กดปุ่มชักโครก การเกี่ยว เช่น เกี่ยวฝาถังขยะ เกี่ยวฝาโถส้วม รวมไปถึงการผลัก เช่น การเปิดและผลักประตู และยังมีที่เก็บหน้ากากชั่วคราวด้วย โดยออกแบบให้แยกส่วนที่ควรสัมผัสและไม่ควรสัมผัสอย่างชัดเจน ตัวด้ามแข็งแรงทนทาน ทำความสะอาดง่าย ไม่ก่อให้เกิดเชื้อรา ทำมาในรูปแบบ ACCESSORY ที่เน้นการสวมใส่แทนการพกพาเพื่อให้สะดวกในการใช้ตลอดเวลา มีทั้งรุ่นทึบและรุ่นโปร่งแสงให้เลือกถึง 10 สี เพื่อให้ผู้ใช้ Mix and Match กับการแต่งกายได้ในทุกๆ วัน เหมาะกับทุกคนที่มีความกังวลกับการจับสิ่งของที่เราไม่มั่นใจในความสะอาดโดยตรงและทุกคนที่ต้องใช้ชีวิตในพื้นที่สาธารณะเยอะๆ เช่น ผู้ที่พักอาศัยอยู่ในคอนโด ผู้ที่ทำงานบนตึกสูง

ปัจจุบัน TAPTAP EVERYDAY มีการส่งสินค้าออกไป 20 ประเทศ เช่น ฝรั่งเศส บราซิล อังกฤษ ญี่ปุ่น และจากสถานการณ์ทั่วโลกทำให้แนวโน้มในการเติบโตสูงขึ้นเรื่อยๆ

ติดตามสตาร์ทอัพไทยที่มีโซลูชั่นและบริการดีๆ ได้ใน “Startup Marketplace is Live Now” รายการที่จะช่วยสร้างช่องทางการตลาดให้กับสตาร์ทอัพไทย ในช่วงสถานการณ์วิกฤต โดย สำนักงานนวัตกรรมแห่งชาติ (องค์การมหาชน) หรือ NIA และข้อมูลข่าวสาร ได้ที่  FB Page : Startup Thailand /FB Group: Startup Thailand Marketplace

http://www.startupthailand.org/