“Move forward” สร้างสรรค์ประกันอย่างถูกที่ถูกเวลา มาพร้อมกับช่องทางการขายอย่างถูกวิธี นำมาสู่ความสำเร็จสวนกระแสสังคม ประกันโควิดที่ถูกขายผ่านช่องทางออนไลน์ สร้างการเติบโตมากกว่า 20% ให้กับ TQM ได้ในระยะเวลาเพียง 2 เดือน ทั้งยังผลกำไรให้กับบริษัทไปแล้วกว่า 60%
ดร. อัญชลิน กล่าวว่า สิ่งที่เห็นได้ชัดจากการเกิดขึ้นของโควิด-19 คือ เทคโนโลยีที่เข้ามามีบทบาทกับทุภาคส่วน
แน่นอนว่า เทคโนโลยีจะเป็นสิ่งที่หลงเหลืออยู่แม้โควิดสงบลง ผู้บริโภคจะยังคงเคยชินกับการใช้เทคโนโลยีเช่นนี้ไปเรื่อย ๆ กลายเป็น New Normal ที่ทุกภาคส่วนต้องปรับตัว
สำหรับธุรกิจโบรกเกอร์และประกัน ดร. อัญชลิน มองว่า แม้เทคโนโลยีจะเข้ามามีบทบาทสำคัญมากขึ้น แต่สามารถนำไปใช้ได้กับบางผลิตภัณฑ์ และจับกลุ่มลูกค้าได้แค่บางกลุ่มเท่านั้น
“ธุรกิจต้องเดินทางไปสู่เทคโนโลยี ใครที่พัฒนาเทคโนโลยีไม่ทัน อาจจะตกขบวน ไปไม่ทันคนอื่น แต่เรื่องการให้บริการด้วยคนก็ยังต้องมี เพราะขายด้วยแอพอย่างเดียวอาจยังไม่ประสบความสำเร็จ ซึ่งคนก็ต้องมีการฝึกอบรม มีการ up skill และ re skill ให้บ่อยขึ้น”
พร้อมกันนี้ ดร. อัญชลิน กล่าวถึงควันหลงหลังหมดโควิดเพิ่มเติมว่า ผู้คนจะยังเคยชินและชื่นชอบการซื้อประกันออนไลน์ เนื่องจากสะดวกและง่าย ทั้งยังมีเบี้ยประกันค่อนข้างถูกเพราะต้นทุนไม่สูงมากนัก แต่การตื่นตัวของผู้คนที่มีต่อประกันจะค่อย ๆ ลดลงไปเรื่อย ๆ เพราะสถานการณ์ต่าง ๆ เริ่มคลายความกังวลลง
TQM จึงเลือกที่จะเกาะกระแสในช่วงนี้ เพื่อตอกย้ำให้ผู้คนยังคงตระหนักถึงความสำคัญของการมีประกัน ด้วยการต่อยอดความตื่นตัวของผู้คนจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 พัฒนามาเป็นประกันไข้หวัด ใหญ่ประกันไข้เลือดออก รวมไปถึงประกันทรัพย์สินที่อยู่อาศัย ครอบคุลมตั้งแต่เรื่องไฟไหม้ น้ำท่วม การโจรกรรม ลมพายุ ตลอดจน การเปียกน้ำ (จากบนฟ้า) ในราคาเบี้ยประกันเพียงพันกว่าบาทเท่านั้น
ทั้งยังวางแผนขยายธุรกิจไปสู่การเป็นโบรกเกอร์ให้กับอุตสาหกรรมอื่น ๆ ที่มีความเกี่ยวเนื่องกับธุรกิจประกัน รวมถึงขยายธุรกิจออกสู่ตลาด CLMV ด้วย
“เป้าหมายสูงสุดของเรา คือ เราอยากให้คนไทยเข้าถึงและทำประกัน อยากให้ทุกคนเข้าใจว่า การเสียเบี้ยเพียงน้อยนิดมันช่วยกระจ่ายความเสี่ยงให้เราได้จริง ๆ ทุกอย่างเริ่มจากความเข้าใจ ผมเชื่อว่าถ้าคนไทยเข้าใจ เขาก็จะทำประกัน แล้วอุตสาหกรรมก็จะโตเอง” ดร. อัญชลิน กล่าวทิ้งท้าย