ก็เลยเกิดแคมเปญขึ้นมา แคมเปญแรกก็คือชาบูกินคนเดียว คือ ชาบูคนโสด มันมาจากที่เราเจอโรงงานหม้ออีกแบรนด์หนึ่งขึ้นมา ซึ่งเขาก็ขายหม้อไม่ได้เหมือนกัน มันเป็นหม้อขนาดเล็ก สิ่งที่คิดในหัวตอนเห็นหม้อคือมันเหมาะกับการกินคนเดียว คนที่อยู่คน เดียวคือกลุ่มคนโสด เรามองไปที่แฟนเพนกวินที่เป็นผู้หญิงโสดที่อยู่คอนโด เรารู้สึกว่าเขามีความน่าสงสาร เหงา ตอนนี้ก็ไม่ สามารถเจอใครได้ เราก็พยายามขยี้ Pain Point แล้วหา Solution ที่เข้ามาช่วยตรงนี้ ว่าคนโสดจะทำอะไร เราจะแก้ปัญหาให้ คนโสดยังไง เลยคิดถึงทินเดอร์ สุดท้ายเราก็สามารถหาแพ็กเกจทินเดอร์ในราคาถูกมาก ทำให้ตั้งชื่อแคมเปญนี้ว่า “เพนกวิน ทินเดอร์ ชาบูคนเดียวแล้วจะไม่เปลี่ยวอีกต่อไป” ซื้อเพนกวินซื้อหม้อแถมชาบูแล้วแถมทินเดอร์เอาไปส่องหนุ่ม ในราคา 777 บาท ทำให้เกิดไวรัลขึ้นมาแล้วก็ Sold Out ภายในนาทีเดียว
เมื่อเกมมันเริ่มสนุกเราก็คิดแคมเปญใหม่ขึ้นมาเรื่อย ๆ มันเป็นเกมมวยวัดที่เจ้าอื่นไม่กล้ามาเล่นกับเรา เราได้หม้อใหญ่มาอีกรอบ เราก็กลับมาที่กลุ่มผู้หญิงที่เราจะเอาเป็นกลุ่มเป้าหมายหลัก คือกลุ่มที่มีความเชื่อความชอบเรื่องมูเตลู เกิดแคมเปญเพนกวินมูเตลู ชาบูแถมยันต์ เราก็เลยสั่งพรินต์ยันต์ขึ้นพร้อมพร้อมปลุกเสกที่วัด เอาหม้อกับยันต์ไปปลุกเสกแล้วผลตอบรับก็ Sold Out เหมือนกัน หลังจากนั้นเราก็มีแคมเปญออกมาตลอดอย่างต่อเนื่อง
เราช่วยผู้หญิงให้มีหม้อกินคนเดียวแล้ว ช่วยคลายโสดแล้ว เรามียันต์ช่วยแล้ว แล้วเราก็มองว่าถ้าหมดโควิด-19 ผู้หญิงจะออกไป ใช้ชีวิตหรือนัดเจอหนุ่ม หน้าตาก็เป็นเรื่องสำคัญ ผู้หญิงก็บ่นบ่อยว่าหน้าเหี่ยว โบท็อกซ์หมดอายุแล้ว เราแค่คิดว่าถ้าเราแถม โบท็อกซ์ได้คงดี เลยตัดสินใจหาพาร์ทเนอร์เป็นคลินิกเสริมความงาม สุดท้ายเขาเล่นด้วยกับเรา เลยมีแคมเปญซื้อชาบู แถม โบท็อกซ์ขึ้นมา ซื้อชาบูแถมคอสโบท็อกซ์ 2,500 บาท และก็ Sold Out ในที่สุด
เราก็เจอโลกใหม่ของเพนกวินที่เรารู้สึกว่า สิ่งเหล่านี้คือสิ่งที่เราคิดมาตลอดแล้วเราก็มีข้ออ้างที่จะไม่ทำ เพราะว่าร้านเราขายดีแล้ว ร้านเราคนเยอะ ไม่จำเป็นต้องทำ แต่พอเราเจอโควิด-19 ข้ออ้างหายไปหมดเพราะเราไม่มีเงิน เราต้องหาเงินจ่ายพนักงาน
ต้องยอมรับว่า ช่วงที่เราเปิดเพนกวินใหม่ๆ ในช่วง 2 ปีแรกตัวตนเราคือแบบนี้ แต่พอช่วง 3-4 ปี ให้หลังทำให้เราหลงลืมความ เป็นเพนกวินไป แต่พอเราได้มาทำคอนเทนต์เองทั้งหมดอีกครั้ง มีเวลาคิดทุกอย่างเอง ความกวนตีน ความเป็นเพนกวิน ความตลก พอมันกลับมา Branding มันกลับมา
เรารู้สึกว่าเพนกวินเป็นแบรนด์ไม่ใช่ร้านอาหาร มันคือคน คนที่มีชีวิตกลับมา มันทำให้เราเจอตัวเองอีกครั้งหนึ่ง มันทำให้เรา คิดว่าเพนกวินตลอด 6 ปีที่ผ่านมา เราอยู่ในโลกที่เสมือนโลกหลอก โลกที่เราคิดว่ามันดี มันกลายเป็นว่าเราไม่เคยทำงานแล้ว สนุกแบบนี้ตลอด 10 ปีผ่านมา ทีมงานไม่เคยคิดว่าเราจะทำอะไรนอกเหนือจากที่เราเคยทำได้ เราออกจากเซฟโซนตัวเอง เราไม่เคยอยากออกนอกกรอบ แต่เพราะกรอบเดิมมันทำให้เราไม่รอด เราเลยกลายไปอยู่ในโลกใหม่
พอโควิด-19 เริ่มหายไป Mindset เราเริ่มเปลี่ยนไป เราไม่อยากทำอะไรแบบเดิมอีกแล้ว ธุรกิจเดิมเราต้องรักษา เรารู้สึกว่า เราอยากทำตัวให้ลีนขึ้น เราอยากเพิ่มวิชาตัวเบา ทำร้านให้ตัวเบาที่สุด คิดอะไรแล้วทำอย่ายึดติดอะไรเดิม ๆ
วันที่เราใช้ Facebook เป็นที่พึ่งแต่วันนึง Facebook อาจจะหายไป แต่สิ่งเดียวที่ไม่มีทางเปลี่ยนไปเลยคือลูกค้า เพราะฉะนั้น ถ้าเรากลับมาเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง แล้วลืมอะไรแบบเดิม ๆ ทิ้งไป มันมีอะไรให้เราทำเยอะมาก มีธุรกิจใหม่ ๆ ให้เราทำอีกเยอะมาก หมายความว่าหลังจากนี้มันคือความสนุก มันคือโลกใหม่ที่เราก็ไม่รู้ว่ามันจะเป็นยังไง แต่เรารู้สึกว่ามันต้องสนุกและมันส์ ทำให้เรามองในระยะสั้นมากขึ้นที่ทำให้มีความสุขอีกแบบนึง เรามีความสุขในการคิดหารอะไรใหม่ๆ มาตอบสนองดีมานด์ใหม่ๆ ขึ้นมา เพราะฉะนั้นนี่คือทางที่เพนกวินจะเดินต่อไป