ในครั้งนั้น ค่ายไทยเบฟ ส่งโซดา “ร็อค เมาเท็น” เข้ามาเติมเต็มพอร์ตโซดาของตัวเอง หลังจากที่มีโซดาช้างอยู่ในตลาดก่อนหน้าแล้ว ซึ่งโซดาช้างมีแชร์อยู่ในมือประมาณ 5% ถูกมองว่ายังไม่ใช่ตัวที่จะเข้ามาเขย่าสิงห์ที่เป็นเจ้าตลาดโซดามูลค่ากว่า 15,000 ล้านบาทได้ ด้วยเหตุที่ว่า แชร์ร่วม 90% ตกอยู่ในมือของโซดาสิงห์ การกำหนดทิศทางของตลาดจึงขึ้นอยู่กับแบรนด์ลีดเดอร์อย่างสิ้นเชิง
ไทยเบฟมองว่า ตัวเองขายสินค้าประเภทเหล้าอยู่แล้ว และการดื่มโซดาของบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็กินในรูปแบบของการเป็นมิกเซอร์ผสมเหล้า ทางดีที่แล้ว จึงน่าจะมีแบรนด์โซดาที่แข็งแกร่งอยู่ในตลาดเพื่อไม่ให้ลูกค้าหนีไปไหน เพราะเมื่อมองมาที่ระบบสนับสนุนต่างๆ ทั้งเรื่องของงบการตลาด และเอเย่นต์ที่ช่วยกระจายสินค้า จึงไม่ใช่เรื่องยากที่จะทำตรงนั้นให้บรรลุเป้าหมายได้
สิ่งที่ร็อค เมาเท็นใช้เป็นจุดขายก็คือเรื่องของความซ่าที่ยาวนาน โดยชูนวัตกรรมการผลิตที่เรียกว่า เทคโนโลยี “โคลด์ อินฟิวชั่น” (Cold Infusion) ช่วยล็อกความซ่า ทำให้ โซดา ร็อค เมาเท็น สามารถเก็บความซ่าได้ยาวนาน เมื่อนำไปผสมกับเครื่องดื่มตัวไหนจึงให้รสชาติที่อร่อย
เรื่องของความซ่านี้ ถือว่าเป็นการท้าชนกับเจ้าตลาดอย่างโซดาสิงห์ ที่ขายเรื่องของความซ่าที่ยาวนานจนสามารถสร้างการรับรู้ในใจของผู้บริโภค การขายความซ่าของร็อค เมาเท็น จึงเป็นการท้าชนในส่วนที่เป็นจุดแข็งโดยตรงของผู้นำตลาด