“เรามีการปรับเรื่องของแบบให้ทันสมัย พอดีว่าเรามีการส่งออกกับลูกค้าฝรั่งเศสมานานกว่า 30 ปี ดังนั้นเราจะได้เทรนด์ใหม่ๆ เรื่องของแบบ สีจากลูกค้าล่วงหน้า 1 ปีเสมอ ซึ่งเราก็นำกลับมาใช้กับการผลิตกระเป๋าในประเทศไทยด้วย แต่กระเป๋าของเราจะไม่ได้เป็นแฟชั่นจ๋า แต่จะเป็นกระเป๋าที่ใช้งานได้ทุกวัน เน้นคุณภาพ มีกิมมิกบนกระเป๋าบ้างถ้าเปรียบกับผู้หญิงเราจะมีบุคลิกแบบสาวทำงาน เรียบร้อย ไม่ฉูดฉาด ลูกค้าสามารถใช้ได้ในระยะเวลานาน”
กว่า 80 ปีที่ดำเนินกิจการจนมาถึงปัจจุบันที่การบริหารงานตกอยู่ที่รุ่น 2 และรุ่น 3 สิ่งที่คุณโนร่ามองว่าต้องมีก็คือการ Combination ระหว่างคนทำงานรุ่นเก่าและคนทำงานรุ่นใหม่ซึ่งมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกัน
“การบริหารงานแบบคนรุ่นที่ 2 จะเป็นแบบ Reactive คือรอให้มีปัญหาแล้วเข้ามาแก้ปัญหาเองได้หมด ส่วนรุ่นของเราจะเป็น Proactive เป็นลักษณะของการบริหารที่มองการณ์ไกลและวางแผนการป้องกันปัญหาก่อนที่มันจะเกิดขึ้นแต่อย่างไรก็ตามโนร่ามองว่าสำหรับ Jacob ต้องการเป็นการบริหารที่ผสมผสานกัน”
การเป็นรุ่นที่ 3 มีความกดดันและแรงคาดหวังมากอยู่แล้วแต่สิ่งสำคัญที่คุณโนร่านึกถึงมากที่สุดก็คือทำอย่างไรที่จะทำให้แบรนด์ดีขึ้นกว่าเดิม
“รุ่นที่ 2 โชคดีตรงที่มีพี่น้องที่ช่วยกันทำงานหลายคนแต่พอมาเป็นรุ่นเราตอนนี้มีเราคนเดียวที่ดูทั้งหมด ทำให้เราอาจจะไม่ได้ใกล้ชิดกับคนทำงานมากเท่ารุ่นคุณแม่และคุณป้า เราไม่สามารถลงไปคลุกคลีดูทุกเรื่องที่เป็นเรื่องเล็กๆ น้อยๆได้ จึงต้องมารื้อระบบใหม่ แต่ปัญหาคือพนักงานของเราเขาคุ้นเคยกับธุรกิจแบบครอบครัวเวลาจะเปลี่ยนอะไรบางครั้งเปลี่ยนยากเพราะเป็นความเคยชินที่เขาทำมาตลอดชีวิต เราต้องค่อยๆ ปรับ มีถึงกระทั่งว่าเรารู้ว่าปัญหาคืออะไร เรียกมาแก้แล้วแต่มันยังมีปัญหาอยู่ เราก็ต้องลงไปทำกับเขาเพื่อให้รู้ว่าปัญหาตรงนั้นมันอยู่ตรงไหนจะแก้ไขได้อย่างไร”
ปัจจุบันเนื่องจากพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไปเดิม Jacob มีจุดขายในโมเดิร์นเทรดอยู่ 150 แต่การเติบโตก็เริ่มนิ่ง คุณโนร่าจึงมองถึงการเพิ่มในส่วนของช่องทางขายที่เป็น E- commerce ซึ่งแนวโน้มในการเติบโตสูงกว่า
“เรามีเว็บไซต์มานานเป็น 10 ปีแล้ว แต่ตอนนี้เรากำลังพัฒนาส่วนของ E- commerce ของเราเองเพิ่มขึ้นออนไลน์น่าจะเป็นช่องทางที่มีโอกาสแม้ตอนนี้สัดส่วนจะมีแค่ 2-3% แต่แนวโน้มการเติบโตสูงมาก เราจึงต้องพัฒนาระบบตรงนี้ให้แข็งแรงมากขึ้น อาจจะมีพนักงานที่เข้ามาตอบไลน์ลูกค้ามากขึ้น มีคนเข้ามาช่วยสื่อสารกับลูกค้าทาง IG มากขึ้น
อนาคตของ Jacob อีก 5 ปีเรามองว่าต้องทำระบบให้นิ่งคุ้ม Inventory ให้ได้และอยากสร้างฐานออนไลน์ให้แข็ง มีทีมที่แข็งแรง ส่วนเรื่องของแบรนด์เราอยากสร้างแบรนด์ให้คนในรุ่นเดียวกับเรารู้จักเรามากขึ้นรู้ว่า Jacob มีมากกว่ากระเป๋านักเรียน ให้เขามองเห็นคุณค่าของกระเป๋าของเราที่คุณภาพดีไม่แพ้ของต่างประเทศ ทำอย่างไรที่เราจะต่อยอดลูกค้าจากกระเป๋านักเรียนต่อไปให้ได้นั่นคือโจทย์หลักของเราที่เรามองว่าอีก 5 ปีเราต้องทำให้ได้ ซึ่งเราอาจจะต้องเกลี่ยเรื่องของ Identity ของเรา สื่อสาร ทำมาร์เก็ตติ้งในช่องทางต่างๆ ที่หลากหลายมากขึ้น”
แม้จะเป็นหน้าที่ที่ต้องทำแต่สุดท้ายคุณโนร่าบอกกับเราว่าหากไม่มีใครทำก็ไม่อยากทิ้งตรงนี้ เพราะธุรกิจนี้เป็นเป็นสิ่งที่คุณตาสร้างขึ้นมาและเป็นสิ่งที่คุณตาภาคภูมิใจดังบทสัมภาษณ์หนึ่งที่ท่านเคยพูดไว้ว่า
“ความสุขอันใดก็ไม่เทียบเท่ากับความสุขที่มองเห็นลูกเจริญก้าวหน้าในหน้าที่การงานและยิ่งเป็นการงานที่ผู้เป็นพ่อปูทางให้ก็ย่อมนำความภาคภูมิใจมาสู่คนเป็นพ่อ เหมือนเป็นการยืนยันให้เห็นว่าความขยันหมั่นเพียร และการต่อสู้ของพ่อนั้นจะไม่สูญเปล่า”
จากนี้ต่อไปการทำงานผสมผสานกันระหว่างคนทั้ง 2 รุ่นจะค่อยๆ ปรับเพื่อพาแบรนด์ Jacob ขยายฐานลูกค้าไปสู่กลุ่มเป้าหมายที่เป็นคนรุ่นใหม่ในอนาคต