ว่ากันว่า หน้าที่สำคัญของผู้นำตลาดที่จะต้องทำควบคู่กันไปกับการสร้างการเติบโตของยอดขายก็คือ การขยายฐานของตลาดให้มีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง เพราะหากตลาดมีการเติบโต ผลพลอยได้ที่ตกตามมาถึงผู้นำตลาดก็คือยอดขายที่เพิ่มมากขึ้น
เรียกได้ว่า บทบาทของผู้นำตลาด ต้อง Penetrate หรือขยายฐานตลาดให้เกิดการใช้มากที่สุด ในที่นี้ยังหมายถึงการครีเอทดีมานด์ใหม่ๆ ขึ้นมาเพื่อให้ตลาดสามารถเติบโตได้
ส่วนสิ่งที่ผู้เล่นที่เป็นเบอร์รองๆ ในตลาดต้องทำตามตำรารบทางการตลาดนั้น ไม่มีอะไรมากไปกว่า การทำตลาดเข้าไปในพื้นที่ที่เบอร์ 1 เป็นคนปูทางและขยายฐานตลาดไว้ให้ ด้วยการสร้าง Niche ของตัวเองขึ้นมา แล้วเกาะกินกับพื้นที่ในส่วนที่สร้างขึ้นมา
แต่ก็มีไม่น้อย ที่มวยรองบ่อน หรือที่นิยามกันไว้ว่าเป็น Underdog มีการฉีกหนีร่มเงาของแบรนด์ผู้นำตลาดเพื่อออกไปสร้างสีสันให้กับตลาด พร้อมกับชิงภาพของการเป็นแบรนด์หรือองค์กร ที่มีการสร้างสีสันใหม่ๆ ให้กับตลาด ซึ่งในช่วงหลายปีหลังมานี้ มีหลายแบรนด์หรือหลายองค์กร ที่ทำตัวเป็น Underdog แถมเป็นผู้ท้าชิงที่เข้ามาสร้างปรากฏ การณ์ใหม่ๆ ให้เกิดขึ้นกับตลาดจนเป็นที่ฮือฮา
กลยุทธ์ของ Underdog เคยเป็นที่ฮือฮา และถูกขยายความมากขึ้น ในช่วงหลายปีก่อน โดยมีหนังสือ Underdog Marketing ที่เขียนโดย Dr.Alex Davidovic และ Penelope Herbert ออกมาเพื่อกระตุ้นในเรื่องนี้ ซึ่งกลยุทธ์ที่เกี่ยวกับ Underdog Marketing ในหนังสือเล่มดังกล่าว จะหมายถึงกลยุทธ์ในการเสริมสร้างชื่อเสียงให้องค์กร การสร้างการประชาสัมพันธ์อย่างกว้างขวางโดยต้นทุนต่ำที่สุด และการต่อสู้กับคู่แข่งขันในตลาดเพื่อให้ได้มาซึ่งพื้นที่แห่งความสำเร็จของตัวเอง
หากจะให้นิยามถึงรูปแบบของการเข้ามาสร้างสีสันให้กับตลาดของแต่ละแบรนด์หรือแต่ละองค์กรนั้น น่าจะแบ่งออกได้เป็น 3 คีย์เวิร์ดสำคัญ คือ
1.Out of the Box หรือการสร้างสีสันผ่านการคิดนอกกรอบ แบรนด์รองหลายๆ แบรนด์ ต่างพยายามใช้ในเรื่องดังกล่าวนี้ เข้ามาเป็นแกนสำคัญในการขับเคลื่อนแบรนด์เข้ามาสร้างสีสันให้กับตลาดที่รวมถึงการสร้างดีเอ็นเอของคนในองค์กรให้มีความคิดในรูปแบบที่ว่านี้ โดยการคิดนอกกรอบนี้ อาจหมายรวมถึงการทำการตลาดแบบไม่มีกำหนดไว้ในตำรา
2.Differentiation หรือความต่าง ที่ถือเป็นแกนหลักที่มักจะถูกเลือกใช้เป็นเครื่องมือในการเข้ามาสร้างสีสันให้กับตลาด ในความหมายของการสร้างความแตกต่างนั้น อาจจะไม่ได้จำกัดอยู่แค่การทำในเรื่องของตัวโปรดักต์ แต่ยังมีเรื่องของกลยุทธ์การตลาดและการทำในเรื่อง Market Offering ที่ฉีกหนีออกไปจากสิ่งที่มีอยู่เดิมในตลาด
3.Media Power การเลือกใช้พลังของสื่อ เข้ามาเป็นตัวช่วยในการสร้างสีสัน ในส่วนนี้ ยังหมายรวมถึงการเลือกใช้สื่ออย่างมีพลังโดยไม่ต้องเสียเงินทุ่มเข้าไปมากนัก