Q: จุดเริ่มต้นของ Big Change ที่เกิดขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 2547
สาระ: ต้องย้อนไปกลับในช่วงหลังวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 เป็นยุคที่บริษัทประกันชีวิตเกิดใหม่มากมาย มีการเข้ามาของธุรกิจประกันข้ามชาติทำให้การแข่งขันเริ่มสูงขึ้น ยุคนั้นเรื่องของ Know How เป็นหัวใจสำคัญ และเมืองไทยประกันชีวิต มองเห็นเทรนด์ของโลกที่กำลังเปลี่ยนไป จึงเริ่มหาพันธมิตรที่มีความรู้ความเข้าใจในเรื่องของตลาดประกันชีวิตเพื่อเสริมสร้างความแข็งแกร่ง ตอนนั้นเราได้ “Fortis” (ปัจจุบันคือ ageas) มาร่วมเป็นพันธมิตร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับการแข่งขันที่จะเกิดขึ้นในอนาคต
ต่อมาในปี 2547 เมืองไทยประกันชีวิต ก็ปรับกลยุทธ์การตลาดครั้งใหญ่ พร้อมการ Rebranding ที่สร้างความแตกต่างจากแนวคิดนอกกรอบ (Think Out of the Box) ในหลากหลายมิติ จนสามารถสร้างความได้เปรียบเชิงการแข่งขัน (Competitive Advantage) ทำให้ภาพลักษณ์ของเราเปลี่ยนไปจากเดิม และสามารถเข้าใกล้ผู้บริโภคได้มากยิ่งขึ้น โดยยุคนั้นธุรกิจประกันชีวิตยังถูกมองว่า เป็นธุรกิจที่มีความซับซ้อน เข้าใจยาก ผู้บริโภคจึงไม่ค่อยเปิดใจยอมรับ แต่เมืองไทยประกันชีวิตก็สามารถทลายกำแพงความคิดเหล่านั้นลงได้
Q: ครั้งนั้นคนไทยได้รู้จัก MTL ในฐานะ “บริษัทของคนหัวคิดทันสมัย”
สาระ: การ Rebranding ในครั้งนั้น เราวาง Positioning ให้เมืองไทยประกันชีวิตเป็นแบรนด์แห่งความสุข พร้อมกับการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ให้กับแบรนด์เมืองไทยประกันชีวิต จากเดิมที่เราเป็นเพียงแบรนด์เล็กๆ ไม่โดดเด่น และมีส่วนแบ่งการตลาดเพียงเล็กน้อย เราปรับเปลี่ยนให้แบรนด์มีความทันสมัยมากขึ้น ดูโปร่งใส อบอุ่น เป็นมิตร และมีความน่าเชื่อถือ เพื่อให้สอดคล้องกับสโลแกน “บริษัทของคนหัวคิดทันสมัย” ที่เรานำมาตอกย้ำให้ภาพชัดเจนมากยิ่งขึ้น
เราสร้างความแตกต่างด้วยกลยุทธ์ Color Marketing โดยเลือกโทนสี “บานเย็น” มาใช้กับการสร้างแบรนด์ เป็นไอเดียที่มาจาก “แสงแดดในยามเช้า” (Morning Sunshine) เพื่อสะท้อนภาพของแบรนด์ที่มีความสดใส มีความอบอุ่น มีความสุข และเป็นแบรนด์ที่ไม่ยอมแพ้ต่อเป้าหมายที่ได้กำหนดไว้ เพราะทุกๆ วันคือวันใหม่
เราปรับเปลี่ยนภาพลักษณ์องค์กรในทุกส่วน เช่น ศูนย์บริการลูกค้า ยูนิฟอร์มของพนักงาน ไปจนถึงนามบัตร ให้มีรูปลักษณ์ที่ดูสมัยใหม่ น่าเชื่อถือ มีความเป็นมิตร เพื่อให้ผู้บริโภคเกิดความมั่นใจ และสบายใจที่ได้พูดคุย หรือจะเข้ามาเป็นลูกค้า พนักงานทุกคนถูกอบรมมาให้มีความยิ้มแย้มแจ่มใส และมีบุคลิกที่มีความน่าเชื่อถือ เพราะความสดใสเป็นตัวตนของเมืองไทยประกันชีวิต ส่วนความน่าเชื่อถือเป็นหัวใจสำคัญของธุรกิจประกันชีวิต
Q: หนึ่งในเป้าหมายสำคัญ คือการเข้าไปอยู่ในทุกไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภค
สาระ: การปรับองค์กรในครั้งนั้น ทำให้เมืองไทยประกันชีวิตสามารถเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น แต่เมื่อจะเป็นแบรนด์แห่งความสุข ก็ต้องเข้าไปอยู่ในไลฟ์สไตล์ของผู้บริโภคให้มากขึ้นด้วย เราจึงเริ่มโฟกัสไปที่เรื่องเอนเตอร์เทนเม้นต์ในแนวทางของ Edutainment เพื่อสร้างมุมมองใหม่ๆ ให้กับผู้บริโภค รวมถึงการออกแบบประกัน Education Program ที่นำคาแร็กเตอร์ของตัวการ์ตูนมาช่วยให้ผู้บริโภครู้สึกผ่อนคลายมากขึ้น และมีการร่วมมือกับห้างสรรพสินค้าในการขยายสาขาเพื่อการเข้าถึงไลฟ์สไตล์ผู้บริโภคได้ดียิ่งขึ้น ทำให้เรื่องของประกันชีวิตจับต้องได้มากขึ้น
จุดที่ทำให้เราประสบความสำเร็จมากขึ้น คือการทำโปรแกรม “เมืองไทย Smile Club” คลับแห่งความสุขและรอยยิ้ม ที่เกิดขึ้นเพื่อสร้าง Relationship กับลูกค้าอย่างใกล้ชิดผ่านกิจกรรม และสิทธิประโยชน์หลายรูปแบบ โดยจับมือกับพันธมิตรที่เป็นไลฟ์สไตล์ทั้งในกลุ่มเอนเตอร์เทนเม้นต์ ท่องเที่ยว และอื่นๆ เพื่อทำให้นิยามคำว่า “ความสุข” กลายเป็นเรื่องที่จับต้องได้ชัดเจนมากยิ่งขึ้นด้วย