จุดแข็งอย่างหนึ่งของกลุ่มเซ็นทรัลก็คือ การมีธุรกิจในเครือที่เกี่ยวเนื่องกับค้าปลีกมากมาย และแต่ละธุรกิจก็ถูกเชื่อมต่อเข้ามาทำงานร่วมกันตามแนวทางกลยุทธ์การ Synergy ที่เป็นนโยบายหลักของยักษ์ใหญ่รายนี้
ส่วนเรื่องของการแทร็กข้อมูลลูกค้านั้น กลุ่มเซ็นทรัลจะมีบัตรเดอะวันการ์ด ที่จะเป็นตัวเก็บข้อมูลของลูกค้าผ่านการซื้อสินค้า จะเป็นข้อมูลที่ลงลึกถึงไลฟ์สไตล์แบบ Personalize เลยทีเดียว
“สำหรับเดอะวันการ์ด เราเก็บข้อมูลโดยแยกตามเซ็กเม้นต์ของบัตร เพื่อให้มีหลายมิติมากขึ้น ซึ่งในอนาคตบัตรจะสามารถเชื่อมเทคโนโลยีรวมกับโมบาย ที่จะสามารถแทร็กกิ้งผู้บริโภคว่าอยู่ในจุดไหนอย่างไร และเมื่อมาในศูนย์ก็จะสามารถส่งเมสเสจโปรโมชั่นต่างๆ ให้กับผู้บริโภคผ่านทางโมบายได้ เราจะทราบว่าเจ้าของเบอร์นี้มีพฤติกรรมแบบนี้ ข้อมูล Demographic เป็นแบบนี้ ควรจะต้องแมตช์กับอะไรบ้าง ซึ่งเราจะต้องมีคนมาทำหน้าที่ในการวิเคราะห์เรื่องเหล่านี้
กลุ่มเซ็นทรัลของเราเน้นเรื่องของ Synergy เพราะเราเป็นองค์กรที่มีทุก BU อยู่ในมือ ถ้าเราสามารถ Synergy Offer ได้ จะทำให้เกิด Benefit อย่างมหาศาล ซึ่งตอนนี้เรากำลังพยายามทำ Tailor-made Synergy เพราะว่าการที่เรามี BU จำนวนมาก ไม่จำเป็นต้องต่างคนต่างทำ แต่ควรที่จะนำข้อมูลต่างๆ มารวมกัน เพื่อที่จะ Synergy Offer เพื่อให้โฟกัสไปที่ลูกค้ารายเดียวได้เลย เช่น ลูกค้าที่ซื้อแต่ในศูนย์การค้าไม่เคยซื้อในห้าง เราก็สามารถดึงให้มาซื้อในห้างได้ หรือคนที่ซื้อแต่ในห้าง เราก็ดึงให้ออกมาซื้ออย่างอื่นบ้าง เราสามารถเชื่อได้จากพฤติกรรมที่ทำหรือมาบ่อยๆ เพราะโดยพฤติกรรมคนเหล่านี้ชอบซื้ออยู่แล้ว แต่เราต้องพยายามเพิ่ม Shopping Per Head ให้มากขึ้น ทำให้กลยุทธ์ส่วนใหญ่จะเน้นการให้ลูกค้ามาให้บ่อยขึ้น หรือให้เพิ่มปริมาณการซื้อต่อครั้งให้สูงขึ้น”
เรื่องของ Big Data ถือเป็น Technology Enhancement ในส่วนของ Unique Experience เป็นการพัฒนาดิจิทัลเพื่อให้ตอบโจทย์ Unique Experience ที่คนสามารถรู้สึกได้ ฟีลได้ ทั้งในเรื่องของเมอร์เชนไดซิ่ง การเดคคอเรท หรือกิจกรรมทางการตลาด ซึ่งต้องแยกตามทาร์เก็ตด้วย เพราะค้าปลีกแต่ละรายต้องพยายามสู้ในเรื่องเหล่านี้เพื่อดึงให้คนเข้ามา เนื่องจากเรื่องของการช้อปออนไลน์ที่มีมากขึ้น ดังนั้น ช้อปปิ้งเซ็นเตอร์ต้องพยายามเปลี่ยนตัวเองให้มาเป็น Entertainment Center หรือเป็น Museum Center บ้าง ให้มีความหลากหลายมากขึ้น ทั้งเรื่องของรูปแบบหรือฟังก์ชั่น ไม่ใช่แค่การมาช้อปปิ้งเพียงอย่างเดียว ต้องมีหลากหลายมิติในการสร้างประสบการณ์ที่หลากหลายมากขึ้น
สิ่งเหล่านี้คือการเตรียมพร้อมในการ Delivered Value เพราะอย่างน้อยออนไลน์ก็ไม่สามารถสร้าง Surprising แต่รีเทลสามารถทำได้ เวลาที่เดินเข้ามาสามารถได้เบเนฟิตบางอย่างมากกว่า เกิดเป็น Surprising ได้ ทำให้คนมีความสนุกมากกว่า ดังนั้น ในอนาคตโจทย์ของรีเทลคือ ต้องทำให้คนมีความรู้สึกแฮปปี้ และมีความสนุกสนาน ไม่ได้เน้นแค่การขายของ
“งานมาร์เก็ตติ้งในอนาคต คืองานที่ต้องวิเคราะห์ข้อมูล มีหน้าที่ 3 อย่าง คือ Plan Feel และ Do คนที่คิด คนที่เป็นเจ้าพ่อแห่งการวางแผน เป็นการคิดแบบข้อมูลจากบิ๊กดาต้า คนที่ทำเรื่องของฟีล ก็จะเป็นเจ้าพ่อในการทำ Emotional Connection หรือในเรื่องของการทำ Engagement และในเรื่องของ Do ก็จะเป็นคน Execution โดยทั้ง 3 ส่วนนี้ เราจะเน้นในเรื่องของความเป็น Specialist จากทั้ง 3 กลุ่มนี้ ทั้งเรื่องของ Systematic Planning แพลนนิ่งจากข้อมูลที่มี นำมาสู่การ Feel และ Do ในท้ายที่สุด”