ส่วนการทำให้คนชื่อชอบและมี Engagement กับพรรค หรือข้อมูลอื่นๆ เช่น นโยบาย ประวัติ ของผู้สมัคร ก็จะถูกแปลงมาเป็นคอนเทนต์รูปแบบต่างๆ ทั้งจากจากผลิตเอง และการสร้างความน่าสนใจให้สื่อมวลชนหรือ Influencers นำไปเล่นต่อ ก็จะทำให้ได้พื้นที่ในหาเสียงเพิ่มขึ้น
ส่วน Funnel หลังจากนี้ ที่เป็นการตัดสินใจเลือก ก็คงต้องไปลุ้นกันที่ 24 มีนาคม 2562 กันว่าใครจะชนะในสนามเลือกตั้งครั้งนี้
เราคงเคยได้ยินว่า Content is King แต่ในสนามนี้ เราคงใช้คำว่า Content is คะแนนเสียง เพราะการตัดสินใจของผู้บริโภคที่มีสิทธิ์เลือกตั้งก็ยังคงเปลี่ยนไปเรื่อยๆ ถ้าเราวัดจากกระแสต่างๆ ในโลกโซเชียล
แต่อย่าลืมว่าในประเทศไทย โลกโซเชียลที่เราเห็นไม่ใช่โลกทั้งหมดของประเทศนี้ ยังมีคนอีกจำนวนมากที่มีสิทธิ์เลือกตั้งแต่ไม่ได้อยู่บนโลกโซเชียล ซึ่งการลงพื้นที่จัดกิจกรรม ในทางการตลาดอาจจะเรียกว่า Event Marketing หรือ On Ground Activity ก็ยังมีความสำคัญ ทำให้เราเห็นการผสมผสานของเครื่องมือต่างๆ ตาม Objective ในแต่ละขั้น
ในขณะเรายังมีคนอีกหนึ่งกลุ่มที่เป็น New Voter ประมาณ 7-8 ล้านคน ที่แน่นอนว่าสื่อออนไลน์มีบทบาทกับพวกเขามาก ซึ่งเราก็ไม่อาจรู้ได้ว่าจะมีอิทธิพลถึงขั้นทำให้ได้คะแนนเสียงหรือไม่ แต่พรรคการเมืองสามารถสร้างการรับรู้ และสร้าง Engagement กับคนกลุ่มนี้ได้อย่างแน่นอน
แม้ว่าเม็ดเงินช่วงประมาณ 300-500 ล้านบาท ที่หมุมเวียนอยู่ในการหาเสียงเลือกตั้ง จะไม่ได้กระทบต่ออุตสาหกรรมสื่อในภาพรวม แต่การเลือกตั้งครั้งนี้มีความสำคัญอย่างมากต่ออนาคตประเทศของเรา
Content is คะแนนเสียง คือในมุมของพรรคการการเมืองที่ต้องทำทุวิถีทางเพื่อให้ได้คะแนนเสียงจากประชาชน
แต่เราฐานะคนรับสื่อก็ต้องพิจารณาว่า Content ไหนที่จริงและเป็นไปได้ ไม่ใช่แค่โฆษณาหลอกลวง
หลังจากวันที่ 24 เราก็คงจะได้เห็นว่า Content ของประเทศจะถูกเขียนออกมาอย่างไร เพราะทั้งหมดขึ้นอยู่กับเสียงของประชาชนอย่างเราๆ
อย่าลืมไปเลือกตั้ง และเลือกคนที่คืดว่าจะมานำพาประเทศของเราให้ก้าวต่อไปนะครับ เราเท่านั้นคือผู้กำหนด Content ต่อไปของประเทศ